ในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นบริหารประเทศในเวลาต่อมา..
ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดาองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน (คตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระทั้งหลายตามรัฐธรรมนูญต่างต้อง “ม้วนเสื่อ” ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว และนำมาซึ่งการยุบเลิก ปรับเปลี่ยนสังคายนา หรือ “เซ็ทซีโร่”
แต่ในส่วนของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” นั้น ถือเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระเพียงหน่วยงานเดียวในเวลานั้นที่ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยไม่ถูกยุบเลิกหรือปรับเปลี่ยนใดๆ ด้วยเห็นว่า กสทช.อยู่ในช่วงเตรียมการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3จี และ 4จี หากมีการปรับเปลี่ยนกลางครันอาจส่งผลกระทบไปถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศเอาได้
ขวบปีหลังจากนั้น กสทช.สามารถจัดประมูลและออกใบอนุญาต 3 และ 4 จีที่ถือเป็น “ผลงานชิ้นโบแดง” ที่ทำให้ทุกฝ่ายตื่นตะลึงได้ โดยในปี 2558 นั้น กสทช.ได้จัดประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ที่สามารถ “ดึงรายได้จากการประมูลเข้ารัฐได้มากถึง 80,778 ล้านบาท”
และในปีเดียวกันยังจัดประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 4 จี บนคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ ที่ถือเป็นการประมูลครั้งประวัติศาสตร์ที่บริษัทสื่อสารต้องขับเคี่ยวกันข้ามวัน ข้ามคืนกว่าจะได้ข้อยุติ จนสามารถ “ดึงรายได้เงินรวมเข้ารัฐได้มากเป็นประวัติการณ์คือ 151,952 ล้านบาท” นับได้สูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ขณะที่สถานการณ์ก่อนประมูลคลื่นความถี่ 5จี บน 4 คลื่นความถี่ อันได้แก่ คลื่นความถี่ 700 เมกกะเฮิรตซ์ (MHz) , 1800 MHz, 2,600 MHz และ 2.6 กิ๊กกะเฮิรตซ์ (GHz) นั้น แม้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศจะขยายตัวมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ภาคบริการโทรคมนาคมทะยานขึ้นมาเป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้แก่ระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 500,000 ล้านบาท มีผู้ใช้บริการโทรคมนาคมมากกว่า 120 ล้านเลขหมาย เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มี 65 ล้านคน แต่กระนั้น เส้นทางการประมูลแจ้งเกิดเทคโนโลยี 5 จีที่ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาพลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจและสังคมทั้งมวลนั้น ก็ยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรคและความเปราะบาง
ในส่วนของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเริ่มประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จนนำมาซึ่งการร้องขอให้ภาครัฐ และ กสทช. ขยายเวลาการชำระค่าธรรมเนียมประมูลใบอนุญาตออกไป รวมทั้งเริ่มมีกระแสเรียกร้องขอให้ กสทช. เลื่อนการประมูลคลื่น 5 จี ออกไปปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายต่างแบกรับภาระค่าคลื่นความถี่ ที่มาจากการประมูลและลงทุนในคลื่นความถี่ 3 จีและ 4G ก่อนหน้า”เต็มหน้าตัก”แล้ว
ห้วงเวลานั้นกระแสเรียกร้องให้เลื่อนการเปิดประมูลคลื่น 5จี ออกไปทวีความรุนแรงมากขึ้นมาเป็นลำดับ ถึงขนาดที่บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมเริ่ม “ตบเท้า” ออกมาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยที่จะเร่งรัดการจัดประมูล 5จี ในห้วงเวลานี้!
โดยเห็นว่า ตลาดโทรคมนาคม 5จี ของโลกยังไม่มีความแน่นอน ผู้ผลิตเครื่องลูกข่าย 5จี ก็ยังไม่มีความชัดเจน และยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำตลาดได้สำเร็จหรือไม่?
ยิ่งในส่วนของคลื่นความถี่ 5 จีที่ กสทช.จะนำออกประมูลในบางคลื่นความถี่นั้น จะต้องเป็นระบบ Multi Band ที่ต้องประมูลคลื่นออกไปถึง 3-4 คลื่นพร้อมกันและบางคลื่นนั้นยังเป็น "คลื่นใหม่"ที่ไม่มีประเทศใดนำออกประมูลมาก่อนด้วยแล้ว อย่างคลื่นความถี่ 2,600 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) จึงยิ่งทำให้เส้นทางการประมูล 5จีของไทยเผชิญกับความไม่แน่นอน จ่อจะต้องเลื่อนออกไป..
งานนี้ “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการ กสทช.ได้ออกโรงแสดงจุดยืนที่เข้มข้นว่า “ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเร่งรัดการลงทุนคลื่น 5จี ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เพราะที่ผ่านมาประเทศต้องสูญเสียโอกาสในทางเศรษฐกิจจากความล่าช้าในการประมูลและให้บริการ 3จี และ 4จี มาแล้ว จึงไม่ต้องการให้ประเทศไทยตกขบวนคลื่น 5จี ซ้ำรอยได้อีก”
สำนักงาน กสทช.จึงยังคงเดินหน้ากระบวนการจัดประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 5จี ตาม Timeline ที่วางเอาไว้ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนสามารถ “โชว์ผลงานการประมูลคลื่น 5จี ที่สามารถดึงเม็ดเงินรายได้เข้ารัฐกว่า 100,521 ล้านบาท”
โดยสามารถ “ลบคำสบประมาท” ของวงการโทรคมนาคมก่อนหน้า และชี้ให้เห็นว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยยังคงเป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และเมื่อประเทศต่างๆทั่วโลกต้องมาเผชิญกับวิกฤตเชื้อไวรัส “โควิด-19” ที่กล่าวได้ว่าทำลายวิถีชีวิตของมวลมนุษยชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยนัยว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4 แสนคนและมีผู้ที่ติดเชื้อทั่วโลกไปแล้ว กว่า 7.5 ล้านคน
โดยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลกในครั้งนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งเชื้อโรคดังกล่าวได้ หลายประเทศแทบอยู่ในภาวะล้มละลาย และไม่รู้จะต้องใช้เวลากี่นานเท่าใดในการฟื้นฟูประเทศ หรือแม้แต่การจะเอาตัวรอดจาก“เชื้อไวรัสสูบนรก”ดังกล่าว!
แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้น กล่าวได้ว่าไม่เพียงรัฐบาลจะสามารถระดมสรรพกำลังเข้ารับมือสถานการณ์วิกฤตไวรัส โควิด-19 ที่ว่านี้อย่างได้ผลแล้ว เรายังสามารถจำกัดการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสโควิด -19 จนประเทศทั่วโลกต่างยกย่อง
เหนือสิ่งอื่นใด ปัจจัยความสำเร็จในการรับมือกับวิกฤตไวรัส โควิด-19 อย่างได้ผลนั้นก็เป็นผลพวงมาจากเทคโนโลยี 4 และ 5จี ที่เรามีอยู่ที่ทำให้องคพายพต่างๆ สามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างทั่วถึง จนสามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสสูบนรกดังกล่าวได้อย่างได้ผลนั่นเอง
หากก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเรายังไม่ได้จัดประมูลคลื่น 4จี โดยยังคงรอคอยให้ประเทศอื่น ๆ ดำเนินการไปก่อน ไม่เพียงเส้นทางการประมูลและออกใบอนุญาต 5จีของไทยจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจแล้ว จนอาจตกขบวน 5จี ไปอีกหน ก็ไม่แน่ว่าวิกฤตเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้เราจะรับมือมันได้อย่างไรหากปราศจากเทคโนโลยี 4 และ 5จี ที่เรามีเหนือกว่าประเทศอื่นใดในเวลานี้!