รายงานข่าวแจ้งว่า เพจโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลที่จะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา!
โดยระบุว่า..เปิดประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ ของ EEC ในการเซ็นสัญญา โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา บนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก
สัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ ข่าวดีกันอย่างต่อเนื่อง จากน้องทองหยิบ (รถไฟฟ้าสายสีทอง:ผู้เขียน) มาถึงเมืองไทย (ยกเข้าอู่คืนนี้)
วันนี้ก็มีงานสำคัญอีกงานนึง ที่รอกันมานาน คือ การเซ็นสัญญา โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นศูนย์กลางทางการบิน ของ EEC และเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งได้เซ็นไปก่อนหน้านี้
ภาพสนามบินเป็นภาพ Render จากแบบจริงๆ จากทางผู้รับสัมปทาน ไม่ต้องมโนกันแล้วนะครับ สวยแน่นอน
เพื่อนๆ คงได้อ่านรายละเอียดของ 3 มาหลายรอบ ตั้งแต่ประมูล มาเจอเรื่องการยื่นซองล่าช้า มาถึงการเจรจาในรายละเอียด มาจนถึงวันนี้ ใช้เวลาร่วมปี
ขอมาสรุปให้ฟังอีกรอบนะครับ ใครอยากอ่านรายละเอียดโพสต์เก่าๆ ดูได้จากในลิ้งค์ด้านล่างนะครับ
- โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ใน EEC ซึ่งเป็น Key point สำคัญของ EEC ทั้งหมด ซึ่งจะพัฒนาให้เป็น Areotropolis (เมืองการบิน)
โดยมี DR. John D. Kasarda ปรมาจารย์ด้านการออกแบบ Areotropolis
ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเมืองการบินทั่วโลก แต่มีที่สำคัญ คือ สนามบิน West Sydney และ Zhengzhou มาเป็นผู้วางแผนให้กับเมืองการบินอู่ตะเภา
ซึ่งจากความได้เปรียบในด้านตำแหน่งที่ตั้ง และ สาธารณูปโภคที่พร้อมในทุกด้าน เมืองการบินภาคตะวันออก (อู่ตะเภา) จะเป็นเพชรเม็ดงาม ของ EEC ภายใต้การวางแผนของ DR. John D. Kasarda มาเป็นผู้เจียระไนให้
ใครยังไม่ได้อ่านเรื่อง DR. John D. Kasarda และเมืองการบินภาคตะวันออกอ่านได้จากลิ้งค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/865479723890508/?d=n
————————
รายละเอียดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ตาม TOR แบ่งผู้รับผิดชอบเป็น 2 ส่วนคือ
- ภาครัฐ ลงทุน (จัดการให้)
1. Runway 2 ด้านตะวันออก พร้อม Taxiway
2. Air Traffic Control Tower 2 มาทดแทนของเดิม ให้ วิทยุการบินเป็นคนดูแล
3. ลานจอดอากาศยานใหม่ พร้อมทำสัญญา ก่อสร้าง MRO กับ การบินไทย และ MRO เจ้าอื่นๆ
4. ระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง เช่น ศูนย์จ่ายไฟฟ้า, ประปา, น้ำเสีย
5. ระบบเติมน้ำมันทางท่อ
6. สถานีรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน
7. ศูนย์ฝึกอบรมการบิน
- ภาคเอกชน ลงทุน
1. จัดทำแผนแม่บทพัฒนาสนามบินและการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ
2. บำรุงรักษา Runway 1 และ 2 ที่รัฐเป็นเจ้าของ
3. จัดหาแหล่งเงินทุน
4. ก่อสร้าง Terminal 3 ซึ่งตามแผนคือ ใน Phase 1 จะต้องรับผู้โดยสารได้ 12 ล้านคน/ปี และ สามารถ ขยายได้ถึง 60 ล้านคน/ปี ในกรณีพัฒนาเต็มแผน
5. บริการ Ground Service และการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน
6. ระบบลำเลียงสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา น้ำเสีย จากจุดใช้งานไปที่ระบบส่วนกลางของ ทร.
- ระยะเวลาโครงการ
สัญญาพัฒนาโครงการทั้งหมด 50 ปี ให้เวลา ก่อสร้าง 3 ปี ดังนั้น เป็นเวลาที่บริหารสนามบินและใช้งานโครงการจริงๆ 47 ปี
โดยเอกชนต้องนำเสนอแผนแม่บทพัฒนาสนามบิน เป็น Phase ตามระยะเวลาการบริหารสนามบิน 50 ปี
แต่ที่น่าสนใจที่สุดและเป็นบทใหม่ของการพัฒนาสนามบินเรา คือ
โครงการทำจุดบังคับ (trigger point) ให้เอกชนต้องพัฒนา Phase ถัดไปของสนามบิน เมื่อ Phase ปัจจุบัน Capacity ถึง 80% ของความสามารถรองรับ ผดส. ดังนั้นเราจะเห็น การพัฒนาอู่ตะเภา Phase ถัดไป เมื่ออู่ตะเภา มี ผดส. Terminal 3 ที่ 9.6 ล้านคน/ปี
ความเป็นเจ้าของ Terminal 3 ยังไม่ลงตัว ว่าจะเป็น BOT (build operate transfer) หรือ BTO (build transfer operate) ซึ่งต่างที่ความเป็นเจ้าของ Terminal 3 ว่าเป็นของรัฐบาล หรือเอกชน
รายละเอียดโพสต์เดิม
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/658354317936384/?d=n
—————————
ซึ่งจากข้อมูลการนำเสนอในวันนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้
ผลตอบแทนและรายละเอียดทางการเงิน
- มูลค่าการลงทุนของสนามบินอู่ตะเภาตลอดอายุสัญญา 50 ปี อยู่ที่ 290,000 ล้านบาท
- ผลตอบแทนที่รัฐบาลจะได้รับตลอดอายุสัญญา 50 ปี อยู่ที่ 1,326,000 ล้านบาท คิดเป็นเงินในปัจจุบัน (ตามอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์) อยู่ที่ 305,555 ล้านบาท
- เมื่อครบสัญญา 50 ปี ทรัพย์สินทั้งหมด จะตกเป็นของรัฐบาล
ผลตอบแทนต่อประเทศในวงกว้าง
- ได้รายได้จากภาษีอากร มากกว่า 62,000 ล้านบาท
- เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 15,600 ตำแหน่ง ในช่วง 5 ปีแรก
- เพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน จากการเข้ามาของธุรกิจใหม่ๆในพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก
ซึ่งจากจุดนี้จะเป็นจุดสำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ ในระยะกลางและไกล ต่อไป
—————————
รายละเอียดข่าว
พิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในพิธีลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตั้งขึ้นเฉพาะกิจโดยกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ผู้ยื่นข้อเสนอเงินประกันขั้นต่ำเป็นผลตอบแทนให้แก่รัฐดีที่สุด เพื่อร่วมกันลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ผู้ร่วมลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ฯ ประกอบด้วย พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมถึงผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ อีอีซี มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ โครงการฯ จะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็น “ศูนย์กลาง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบิน ภาคตะวันออก” ที่จะครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 ก.ม. โดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง) ซึ่งเป็นการสานต่อเจตนารมณ์การพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่า และเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย
โดยเข้าเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออก ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้สะดวกทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การร่วมลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือกลุ่มกิจการร่วมการค้าบีบีเอส ได้ร่วมลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ กับทางภาครัฐโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย และผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ กลุ่มบริษัทบีทีเอส ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนี้ จากการผนึกกำลังของภาคเอกชนทั้งสามกิจการ ภายใต้ความร่วมมือกันใช้ทรัพยากรและศักยภาพที่โดดเด่น สามารถสร้างผลประโยชน์สูงสุดคืนให้กับภาครัฐและประชาชน ตลอดจนยกระดับการพัฒนาประเทศไทย ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
จากประสบการณ์ที่มีมากกว่า 20 ปี ในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย และได้เปิดให้บริการมาแล้ว 20 ปีเศษ รวมระยะทางให้บริการปัจจุบันเกือบ 60 กิโลเมตร และยังมีรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง-ชมพู และรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือจะเป็นโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ กลุ่มบริษัทบีทีเอสได้ดำเนินการมาจำนวนมาก
นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังได้ดำเนินธุรกิจด้านสื่อโฆษณานอกบ้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทำธุรกิจทางด้าน E-Payments และเทคโนโลยีด้านระบบเก็บเงิน ทำให้เชื่อได้ว่า กลุ่มบริษัท บีทีเอส จะสามารถช่วยสนับสนุนให้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถยกระดับสู่ศูนย์กลางมหานครการบิน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation ของ อีอีซี นำไปสู่การเป็นประตูเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และด้านการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะยกระดับการพัฒนาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป “บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประชาชนชาวไทย และขอต้อนรับสู่ประตูเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก “Welcome to Our Gateway of EEC”
หมายเหตุ:
- ขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย