ปฏิทินเดือนเมษายนกำลังจะถูกฉีกทิ้ง เพื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม สำหรับเดือนนี้ประเด็นที่น่าจะอยู่ในความสนใจ และมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยมากที่สุด น่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมือง..
ก่อนหน้านี้ถูกคาดหวังว่า จะเห็นพัฒนาการเชิงบวกในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกลับพบว่า เมื่อเข้าใกล้วันที่ 9 พฤษภาคม ถูกกําหนดว่า เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 95% (475 คน) มีหลายเหตุการณ์ที่บ่งชี้ถึง แนวโน้มทางการเมืองที่ร้อนแรงขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการที่ กกต. แจกใบส้มให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งหลัง 9 พฤษภาคม ความไม่ชัดเจนเรื่อง ส.ส.บัญชี รายชื่อ รวมถึงกรณีของพรรคอนาตคใหม่
สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าว ในมุมมองของนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส บอกว่า น่าจะทําให้เงินทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ ที่ควรจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่ชะงักรอดูความชัดเจน ซึ่งน่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index ) ยังต้องเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้บริเวณ 1,680 – 1,690 จุด ต่อไป
“สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในช่วง 3 - 6 เดือนข้างหน้า หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน บรรเทาลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ ของโลกจะออกมาต่อเนื่อง เช่น สหรัฐฯ จีน และน่าจะตามมาด้วย ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกกลับมาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนอีกครั้ง อีกทั้งสภาพคล่องการเงินโลกไม่ได้ลดอย่างที่คาดทำให้แรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์ลดลง
สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทย ด้วยภาพรวมหลังเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน คาดว่า จะผันผวนในช่วงที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาทั้งไตรมาส 2 และหลังจากมีความชัดเจนแล้วตลาดหุ้นไทยก็จะกลับไปปรับตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลกและทิศทางของผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ 1,600 หรือ 1,550 จุด จากปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองแต่ยังคงยืนยันเป้าหมายของปี 2562 ที่ระดับ 1,700 – 1,800 จุด
สำหรับคำแนะนำและกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุน หรือจัดพอร์ตไตรมาส 2 ให้ปรับพอร์ตเป็นเชิงรุกมากขึ้นดังนี้..
กลยุทธ์แรก “แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น” เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานและเศรษฐกิจ รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังรอความชัดเจนทางการเมือง แนะนำกระจายการลงทุนไปตลาดหุ้นโลก หุ้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) โดยเฉพาะหุ้นจีน
กลยุทธ์ที่ 2 “แนะนำสร้างสมดุลด้วยสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ” โดยในส่วนของตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุยาวขึ้นในช่วงประมาณ 4 ถึง 6 ปี หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) และตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะส่งผลให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดทางเลือกอื่นๆ ในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย บล.ไทยพาณิชย์ แนะนำ ”ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงที่ราคามีโอกาสปรับตัวลงช่วงที่สถานการณ์การเมืองในประเทศยังไม่ชัดเจน” เนื่องจากตลาดจะคลายความกังวลหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้
ในขณะที่ความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองจะกลายเป็นเรื่องปกติซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่ใช่เพียงการเมืองไทยเท่านั้น แต่กำลังเกิดขึ้นในเกือบทุกประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ และ ในยุโรป เป็นต้น ดังนั้นโซนเข้าซื้ออยู่ระหว่าง 1,550 -1,600 จุด ในขณะที่โซนขายอยู่ระหว่าง 1,750 – 1,800 จุด หรือ 8 - 10% จากระดับปัจจุบัน
มาดูกันว่าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันจะลงทุนอย่างไรดี บล.ไทยพาณิชย์ แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม "พลังงาน ปิโตรเคมี และธุรกิจการเกษตรและอาหาร" เพราะกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หุ้นแนะนำ คือ IRPC ให้ราคาเป้าหมาย 8.6 บาท หุ้น IVL ราคาเป้าหมาย 82 บาท และ PTTEP ราคาเป้าหมาย 150 บาท หุ้นกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร แนะนำ GFPTและ TU โดยให้ราคาเป้าหมายระยะ 12 เดือนที่ 23 บาท
โดย ซิลลิ่ง