หากกรณีค่าโง่ 2.5 หมื่นล้าน โฮปเวลล์ คือความอัปยศของโครงการสัมปทานภาครัฐ ที่ต้องจบลงด้วยการที่ภาครัฐต้องเสีย "ค่าโง่" ไปนับหมื่นล้าน
อะไรจะเกิดขึ้น... กับนโยบายสุดพิสดารของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กับการจับเอา 3 อภิโปรเจ็กต์ยักษ์ มูลค่ากว่า 3.5 แสนล้าน "มัดตราสัง" ประเคนสัมปทานให้กลุ่มทุนเอกชนเพียงรายเดียวกินรวบ
ภายใต้นโยบาย "PPP จำแลง" โครงการสัมปทานไฮสปีดเทรน 2.24 แสนล้าน ที่รัฐบาลต้องควักภาษีไปอุดหนุนกว่า 1.4 แสนล้าน ที่สามารถจะดำเนินการได้ตามลำพังอยู่แล้ว แต่รัฐกลับผนวกเอาสัมปทานโครงการพัฒนาที่ดินทำเลทองผืนสุดท้ายนิคมมักกะสัน 105 ไร่ มูลค่านับแสนล้านบาทแถมพ่วงไปให้อีก
ทั้งที่หากนำออกประมูลตามปกติ จะสามารถล้างหนี้ขาดทุนให้การรถไฟฯ ได้ทั้งหมด
ไม่ว่าเบื้องหน้า เบื้องหลังของนโยบาย PPP โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท จะมาจากไหน? แต่การผนวกเอา 3 โครงการเมกะโปรเจ็กต์ ที่ประกอบด้วย 1. ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน 2. โครงการพัฒนาที่ดินสถานีรถไฟมักกะสันมูลค่านับแสนล้านบาท และ 3. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท
โดยจับ "มัดตราสัง" เป็นโครงการเดียวกันก่อนประเคนสัมปทานไปให้กลุ่มทุนเอกชนเพียงรายเดียว ผ่านหน้าฉากการประมูลสุดพิสดาร ที่พิจารณาชี้ขาดเพียงข้อเสนอทางการเงินของกลุ่มทุนที่เสนอขอเงินอุดหนุนจากรัฐต่ำสุดเป็นเกณฑ์นั้น
มันคือมหกรรมปล้นสมบัติชาติครั้งใหญ่สุดของประเทศหรือไม่!
เป็นไปได้อย่างไรที่ 3 โครงการเมกะโปรเจ็กต์รัฐ ที่แต่ละโครงการมีความเป็นเอกเทศ สามารถจัดแยกการประมูลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นเกณฑ์ได้อยู่แล้ว แต่ละโครงการที่มีความจำเป็นต้องอาศัยคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละด้านเข้ามาประเมินและจัดประมูลกันอย่างรอบด้าน แต่กลับ "มัดตราสัง" มอบหมายให้คณะทำงานเพียงขุดเดียวชี้ขาดภายในระยะเวลาไม่ถึง 3เดือน
มันจะไม่ลงเอยยิ่งกว่า "ค่าโง่โฮปเวลล์" นี้หรือ?
ผ่าทำเลทอง...”นิคมมักกะสัน”
1 ในโครงการสัมปทานสุดพิสดารดังกล่าว คือ โครงการพัฒนาสถานีมักกะสัน เนื้อที่กว่า 105 ไร่นั้น ถือเป็นทำเลทองผืนใหญ่ผืนสุดท้ายใจกลางกรุง ที่หากการรถไฟฯ นำออกประมูลอย่างเป็นเอกเทศ เฉกเช่นโครงการพัฒนาสถานีหมอชิต มูลค่ากว่า 26,000 ล้าน หรือโครงการพัฒนาที่ดิน 109 ไร่ โรงเรียนเตรียมทหารของสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่กลุ่มทีซีซี แอสเซ็ทส์ ของเจ้าสัวเจริญ ได้สัมปทานไปเมื่อ 3ปีก่อนนั้น
เฉพาะมูลค่าโครงการพัฒนาที่ดินโรงเรียนเตรียมทหารที่กลุ่มเจ้าสัวเจริญผุดขึ้นมา คือ โครงการคอมเพล็กซ์ "วัน แบงคอก" ที่ประกอบด้วยอาคารคอมเพล็กซ์ โรงแรมสุดหรูที่อัลตร้าลักชัวรี่นั้น ก็มีมูลค่าลงทุนที่สูงถึง 1.2 แสนล้านบาทแล้ว
ขณะที่ที่ดิน 105 ไร่ของนิคมมักกะสันนั้น ถือเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายใจกลางกรุง ที่หากการรถไฟฯ นำออกประมูลตามปกติที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พ.ร.บ.พีพีพี) ตามเกณฑ์เดิมที่ต้องพิจารณาชี้ขาด โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตอนแทนที่เอกชนต้องนำเสนอต่อการรถไฟฯ นั้น ก็เชื่อนะว่า บรรดาแลนด์ลอร์ด นักพัฒนาที่ดินเลื่องชื่อของเมืองไทยและของโลก คงตบเท้าเข้าร่วมประมูลกันอย่างคึกคัก
ผลประโยชน์ที่รัฐและการรถไฟฯ จะได้รับจากการประมูลนั้น เชื่อว่าสามารถที่จะล้างหนี้ขาดทุนสะสมของการรถไฟฯ ที่มีนับแสนล้านบาทได้ด้วยซ้ำ!
แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าแปลก รัฐบาลและกระทรวงการคลัง กลับชิงแก้ไข พ.ร.บ.พีพีพี ดังกล่าว และกำหนดนิยามโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนใหม่ โดยตัดโครงการพัฒนาที่ดินในเชิงพาณิชย์ออกไป ทั้งยังเปิดทางให้การรถไฟฯ ผนวกเอาทำเลทองผืนงามดังกล่าวประเคนไป ให้กับบริษัทเอกชนที่ชนะประมูลสัมปทานโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินไปฟรีๆ แลกกับผลตอบแทนเพียง 52,330 ล้านบาท ในระยะ 50 ปีเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนว่า บริษัทเอกชนจะนำที่ดินทำเลทองดังกล่าวไปพัฒนาเชิงพาณิชย์อย่างไรบ้าง หรือมีมูลค่าลงทุนอย่างไรบ้าง
ไม่ต่างจากรัฐ "ตีเช็คเปล่า" ให้เอกชนไปกรอกตัวเลขเอาเองดีๆ นี่เอง!!!
"จะอ้างว่า สถานีแอร์พอร์ตลิงค์ มักกะสัน ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงค์ และรถไฟความเร็วสูง ไม่สามารถจะแยกออกมาประมูลเป็นเอกเทศได้ ก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่น่ารับฟัง ... เพราะมีตัวอย่างโครงการเมกะโปรเจ็กต์อย่างศูนย์คมนาคมบางซื่อ มูลค่าลงทุนกว่า 4 แสนล้าน หรือโครงการพัฒนาที่ดินสถานีหมอชิต 67 ไร่ มูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาทนั้น ก็ประกอบไปด้วย ศูนย์คมนาคม ศูนย์เชื่อมต่อรถไฟฟ้า ระบบขนส่งอื่นๆ อีกนับสิบ ภาครัฐสามารถจะกำหนดหลักเกณฑ์ ให้บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานจะต้องก่อสร้างหรือกันพื้นที่เพื่อรองรับศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า อาคารเชื่อมต่อ หรือระบบขนอื่นๆ ส่งควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ได้อยู่แล้ว"
แต่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคม กลับเลือกที่จะผนวกเอาทำเลทองผืนงามดังกล่าว แถมพกประเคนไปให้กับกลุ่มทุนไปฟรีๆ ถึง 50-99 ปี โดยไม่มีการประมูล
ผลประโยชน์แสนล้านที่ควรเป็นของรถไฟ และสามารถจะล้างหนี้รถไฟนับแสนล้านได้นั้น กลับถูกประเคนไปให้กลุ่มทุนเอกชน ผ่านนโยบาย PPP จำแลงข้างต้น โดยที่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาพิจารณาโครงการแทบจะไม่มีโอกาสได้ลงไปศึกษาผลประโยชน์ของรัฐที่แท้จริงที่หายไปแต่อย่างใด
ส่วนอีก 2 โครงการที่ถูกมัดตราสังเข้ามานั้น... เป็นอย่างไร ติดตามคลี่สัมปทานจำแลง... "ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน" ขบวนการปล้นชาติยิ่งกว่า "โฮปเวลล์" (ตอนที่ 2) ต่อไป