โลกโซเชียลร้อนระอุขึ้นทันทีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีการแชร์ข่าวต่อๆกันไปอย่างรวดเร็วในประเด็นที่ว่า จะมีร่างพ.ร.บ.ข้าวฉบับใหม่ออกมา โดยจะเอาผิดกับชาวนาที่เก็บข้าวเปลือกไว้ทำพันธุ์ต่อในนาของตัวเอง มีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยสามัญสำนึก หากมีใครเสนอออกกฎหมายลักษณะนี้ออกมาจริงๆ ต้องบอกว่า ถ้าไม่บ้าก็ต้องเมาจนถึงขั้นขาดสติแน่นอน เพราะขัดกับจริตและวิถีชีวิตของชาวนาไทยโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะกลุ่มชาวนาที่พัฒนาพันธุ์ข้าวของตนเอง ไม่ได้ไปซื้อพันธุ์ข้าวปลูก (ชาวนาจะเรียกข้าวเปลือกที่คัดเอาไว้ทำพันธุ์ว่า “ข้าวปลูก”) จากพ่อค้า
ครับ...สุดท้ายข่าวดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริง ไม่มีข้อกำหนดนี้ในร่าง พ.ร.บ.แต่ยอดแชร์ข่าวพุ่งกระฉูดไปแล้ว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นความเข้าใจกันผิดๆก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ.ร.บ.ข้าวในส่วนอื่นๆจะไม่เป็นปัญหา ซึ่งทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้นตอที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาอ้างว่าเป็นความประสงค์ดีต่อชาวนาของไทย
แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวางการข้าว ทั้งนักวิชาการ ผู้ส่งออก พ่อค้า โรงสี รวมไปถึงสมาคมชาวนากลับมองว่า ร่างพ.ร.บ.ข้าวฉบับนี้ มาจากพวกร้อนวิชา ไม่เข้าใจระบบการผลิตข้าวของไทย รวมไปถึงขาดการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ส่อแววว่าเมื่อนำไปสู่การปฏิบัติจะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน รวมไปถึงยังขาดเรื่องการส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าวของไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งทางสนช.ก็ยอมรับที่จะนำไปปรับปรุงรายละเอียดในสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้น
ในร่าง พ.ร.บ.ข้าวฉบับร้อนวิชานี้ เราลองมาดูข้อที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับชาวนากันก่อน ก็คือ การควบคุมโรงสีไม่ให้เอาเปรียบชาวนา โดยกำหนดว่า ผู้รับซื้อข้าวเปลือกจะต้องเก็บหลักฐานการออกใบรับซื้อที่ได้ออกไปแล้วหลังซื้อข้าวจากชาวนาไว้เพื่อตรวจสอบเป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้ชาวนามีโอกาสได้ตรวจสอบในกรณีที่สงสัยว่าโรงสีเอาเปรียบกดราคารับซื้อ โรงสีก็ออกมาโวยวายในประเด็นนี้ว่า สร้างความยุ่งยากในทางปฏิบัติ
อีกประเด็นที่สำคัญคือ การกำหนดให้ผู้ที่จะจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก จะต้องจดทะเบียน และเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกจะต้องได้รับการรับรอง ว่ามีคุณภาพ ตรงตามสายพันธุ์ ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมคุณภาพ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกมีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบการปลูกข้าว
เมื่อลงทุนไถนา ตีเทือก อย่างดีแล้ว หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกลงไป หากเปอร์เซ็นต์การงอกน้อย หรือปนเปื้อนทั้งเมล็ดวัชพืช หรือข้าวพันธุ์อื่น ก็จะเสียโอกาสไปโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญหากเป็นพื้นที่ที่มีรอบการปลูกข้าวเพียงรอบเดียว น้ำฝนผ่านไปแล้วก็ต้องรอปีต่อไป เสียทั้งทุน เสียทั้งเวลา
ส่วนชาวนาที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกไว้ใช้เอง สามารถทำได้ไม่มีปัญหาให้ขุ่นข้องใจ ตามที่แชร์กันในโซเชียล แต่หากจะผลิตเพื่อจำหน่ายเมื่อใด จะต้องไปขึ้นทะเบียนรับรองคุณภาพข้าวปลูกเสียก่อน ซึ่งคำว่า “จำหน่าย” ในพ.ร.บ.ให้นิยามไว้ว่า หมายถึง การขาย จำหน่าย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ทางการค้า
ดูไปก็เหมือนจะมีแต่ข้อดีกับชาวนา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะร่างพ.ร.บ.ข้าวฉบับนี้ ให้อำนาจและดุลพินิจกับกรมการข้าวแบบเต็มๆ ทั้งทำหน้าที่ กำกับ และรับรองมาตรฐานข้าวและพันธุ์ข้าว ตรวจสอบคุณภาพข้าว ออกใบรับรองให้ผู้ขายข้าวปลูก แถมยังมีสิทธิสุ่มตรวจโรงสีต่างๆอีกด้วย และนี่จะเป็นช่องโหว่สำคัญของพ.ร.บ.ฉบับนี้
มีบทเรียนมากมายที่กฎหมายให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นช่องทางทำมาหากินของเจ้าหน้าที่เสียเอง เพียงแค่จ่ายเงินใต้โต๊ะก็ได้ไฟเขียว ไม่ต้องเข้าไปตรวจให้เสียเวลา แต่ถ้าไม่จ่ายใต้โต๊ะจะถูกกลั่นแกล้งสารพัด จนทำมาหากินอย่างสุจริตไม่สะดวก นอกจากการจ่ายใต้โต๊ะที่จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผลแล้ว ในด้านกำลังคนของกรมการข้าวเองก็มีไม่เพียงพอที่จะรับภารกิจนี้ไปปฏิบัติอีกด้วย
ที่สำคัญหากทุนใหญ่วางหมากกินรวบธุรกิจจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมหัวกับข้าราชการ จัดระเบียบการขึ้นทะเบียนผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าวโดยอ้างมาตรฐานใหม่ จากนั้นก็แขวนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าวของเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจำหน่าย สุดท้ายชาวนาก็ต้องแห่ไปซื้อจากเอกชนที่ได้ใบรับรองกันถ้วนหน้า นี่คือข้อที่พึงระวังอย่างยิ่ง
แต่ละปีชาวนาไทยมีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณ 1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยมาจาก กรมการข้าวผลิตได้ 100,000ตัน, จากเอกชน 400,000 ตัน และจากกลุ่มชาวนาที่เก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกหรือจำหน่ายในเครือข่ายชาวนา จำนวน 500,000 ตัน
ก็คงต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ข้าวฉบับร้อนวิชาในวาระ 2-3 จะปรับแก้ไขในรายละเอียด และอุดช่องโหว่ไม่ให้ทุนใหญ่เข้ามาฉวยโอกาสกินรวบธุรกิจจำหน่ายพันธุ์ข้าวได้อย่างไร ก่อนที่จะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาต่อไป