คดีสุดสะเทือนขวัญสามีฆ่าปาดคอเมีย-ลูกรวม 3 ศพ ในท้องที่ สน.มีนบุรี เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา หลังจากหมดสิ้นหนทางที่จะหาเงินมาจ่ายหนี้เงินกู้นอกระบบ
ที่นัยว่า “จะตัองเสียค่าดอกเบี้ยถึงวันละ 8,000 บาท จนต้องตัดสินใจฆ่ายกครัวเพื่อหวังหนีปัญหานั้น”
แม้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะสั่งกำชับหน่วยขึ้นตรง ทั้ง กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ให้เร่งรัดดำเนินการปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบอย่างถึงพริกถึงขิง
ขณะที่ "บิ๊กแป๊ะ - พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ออกมารับลูก ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีการขยายผลสืบสวนและปราบปรามกลุ่มนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอย่างไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
แต่โศกนาฏกรรมฆ่ายกครัวที่เกิดขึ้นล่าสุด และที่เกิดกับประชาชนหาเช้ากินค่ำรายอื่นๆ อีกนับสิบนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของมาตรการปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังดำเนินการมาก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน !
และแทบจะไม่เข้าใจว่า มาตรการจับนายทุนเงินกู้นอกระบบตีทะเบียน จะนาโน หรือพิโก ไฟแนนซ์ ที่คลังโยนกลองไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับหน้าเสื่อไปดำเนินการกำกับดูแลแทนนั้น จะเป็นการตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาอย่าง "ตรงจุด" หรือไม่?
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังเคยมีความพยายามที่จะออกมาตรการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน รวมไปถึงการตีทะเบียนนายทุนเงินกู้นอกระบบ เพื่อดึงเข้ามาตีทะเบียนเป็นผู้ให้บริการทางการเงินในกำกับ ทั้งในรูปผู้ให้บริการทางการเงิน นาโนไฟแนนซ์ และพิโก้ ไฟแนนซ์ โดยตรง
โดยคลังได้เสนอ "ร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน พ.ศ. ..." ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 อ้างเพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินอย่างเป็นระบบ และเพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ
แต่ไม่รู้ขั้นตอนการยกร่างกฎหมายดังกล่าวยุ่งยากสลับซับซ้อนมากไปหรืออย่างไร วันดีคืนดีกระทรวงการคลังกลับไฟเขียวให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศ ธปท.2 ฉบับรุกคืบ เข้ามาจัดระเบียบธุรกิจปล่อยกู้ รวมไปถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่นัยว่ามีพอร์ตใหญ่กว่า 200,000 ล้านบาทด้วยอีก!
โดยกำหนดเงื่อนไข สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินภายใต้การกำกับ ที่จะให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อที่มืทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบการต่อ รมว.คลัง ผ่าน ธปท.
ทั้งที่เกณฑ์ในการกำกับดูแลธุรกิจปล่อยกู้หรือสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ หรือ "นาโนไฟแนนซ์" ที่ ธปท. กำกับดูแลโดยตรง ก็ยังมะงุมมะงาหราไม่ไปไหน เปิดให้ตีทะเบียนมากว่า 3 ปี จนวันนี้ยังมีผู้ประกอบการยื่นขอตีทะเบียนไม่ถึง 30 ราย มียอดปล่อยกู้ไม่ถึง 4,700 ล้าน
ขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อธุรกิจระดับจังหวัด หรือ "พิโก ไฟแนนซ์" ที่คลังโยนให้ ธปท. ไปกำกับดูแลด้วยนั้น มีการมาขึ้นทะเบียนทั้งประเทศร่วม 500 ราย แต่กลับมียอดหนี้คงค้างทั้งระบบ ณ สิ้นปี 2561 เพียง 56,558 บัญชี มูลหนี้คงค้างรวมเพียง 1,558 ล้านบาทเศษเท่านั้น
เทียบไม่ได้เลยกับ “พอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทั้งระบบที่มียอดเกิน 200,000 ล้านบาท” ในปัจจุบัน ซ้ำร้ายใบอนุญาตที่ธุรกิจนี้ขอจาก ธปท. ไปแปะข้างฝา ยังกลายเป็นแค่ "ยันต์กันผี" ที่ธุรกิจนี้มีไว้แค่บังหน้า แต่ยังคงเดินหน้าโขกและขูดดอกเบี้ยเอากับลูกหนี้แถมยังคับเอาหลักประกันจากลูกหนี้กันมันมือได้อยู่ดี
ที่น่าแปลก! ธปท. รายงานเองด้วยว่าสินเชื่อคงค้าง พิโก ไฟแนนซ์ จำนวน 1,500 ล้านบาทเศษนั้น กว่า 60% เป็นสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่า นี่รัฐบาล และ ธปท. กำลังเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่
รัฐไปไฟเขียวปล่อยกู้โขกดอกเบี้ยได้ถึง 36% แต่ยังไฟเขียวให้มีการเรียกหลักประกันได้อีก แล้วสินเชื่อประเภทนี้ มันจะมีความเสี่ยงตรงไหน ถึงไปไฟเขียวให้ผู้ให้บริการโขกดอกเบี้ยได้สูงลิบลิ่วได้ถึงขนาดนั้น!
ล่าสุดกระทรวงการคลังยังมีแนวคิดจะขยายมาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบ ที่ไม่รู้ว่าของเดิมนั่นสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนาไปแค่ไหน โดยได้เสนอคณะรัฐมนตรี ล่าสุดให้ผู้ให้บริการสินเชื่อระดับจังหวัด หรือ "พิโก ไฟแนนซ์" ที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 10 ล้านบาท สามารถขยายพอร์ตการให้บริการปล่อยกู้แก่ลูกหนี้จากที่กำหนดไว้เดิมไม่เกิน 50,000 บาทขึ้นเป็น 100,000 บาท โดยส่วนที่เกิน 50,000 บาทนั้น ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี หรือพิโก ไฟแนนซ์พลัส ได้อีก
ยิ่งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ไล่ล่าปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบมากเท่าใด มันยิ่งสะท้อนให้เห็นมาตรการที่คลัง-ธปท. กำลังดำเนินการโดยอาศัยกฎหมายและยกร่างประกาศอะไรต่อมิอะไรออกมานั้น มันยิ่งสะท้อนให้เห็นแต่ความล้มเหลว
ทั้งที่กฎหมายหลัก พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 กำหนดให้ผู้ปล่อยกู้ที่มีการเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ว่าจะกรณีใด จะคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมได้สูงสุดไม่เกิน 15% เท่านั้น หาไม่แล้ว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 หรือทั้งจำทั้งปรับที่คิดเป็นรายกระทงไป
ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใด กระทรวงการคลังถึงถูกผู้คนในสังคมด่าเปิงเอากับมาตรการที่คลัง จะแจกเงิน 1,500 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนไปเที่ยวเมืองรอง
เพราะวันๆ ขยันแต่คิดมาตรการไร้สาระที่จะผลาญเม็ดเงินภาษีไปวันๆ นั่นเอง!!!!