ผ่านไป 10 วัน นับจากวันแห่งหายนะของสวนทุเรียนดินภูเขาไฟ ในพื้นที่ปลูกบ้านซำขี้เหล็ก ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากถูกพายุหมุนฤดูร้อนพัดถล่มเสียหายอย่างหนัก ความรุนแรงของพายุในครั้งนี้ พัดถล่มต้นทุเรียนที่ใช้เวลาปลูกยาวนานถึง 25 ปีล้มระเนระนาดชนิดขุดรากถอนโคนในชั่วพริบตา!
ย้อนดูเหตุการณ์.. วันที่พายุบ้าคลั่งในพื้นที่
หากย้อนกลับไปราวเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ปลูกทุเรียนดินภูเขาไฟบ้านซำขี้เหล็กและบริเวณใกล้เคียง สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่จะปลูกพืชไร่ ประเภทข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ถั่วลิสง และพืชไร่อื่นๆ ไม่มีการปลูกไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่างเช่นปัจจุบัน
ในยามหน้าแล้งช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี พื้นที่เต็มไปด้วยหญ้าคอมมิวนิสต์และวัชพืช มีการเผาไร่ไม่ต่างจากพื้นที่ตามภูเขาทางภาคเหนือของไทย เพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป ในช่วงเวลานี้เอง ในยามฤดูร้อนช่วงบ่าย ๆ จะมีลมกรรโชกแรง พร้อมหอบไอความร้อนมาปะทะกับใบหน้า ทำให้ร้อนผ่าว และรู้สึกได้ว่า พื้นที่แห่งนี้ใกล้จะกลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว เพราะพื้นที่มีสภาพโล่งเตียนไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นคล้ายภาพภูเขาหัวโล้นทางภาคเหนือของไทย
ยิ่งใกล้เข้าสู่ต้นฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี สภาพอากาศในพื้นที่ยิ่งแปรปรวน อากาศร้อนอบอ้าว (มากๆ) มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนดำ และเกิดพายุลมแรงพัดกรรโชกชนิดบ้าคลั่งมาแต่ไกล ความแรงของลมพัดทำให้หลังคาบ้านปลิวว่อนไปหลายหลัง ในยามที่เกิดพายุพัดแรงคุณปู่หรือพ่อ-แม่ จะบอกให้เด็กๆ หลบอยู่แต่ในบ้าน เพื่อความปลอดภัย
ส่วนวิธีป้องกันลมแบบบ้านๆ นั้น จะใช้วิธีตามความเชื่อทางโบราณ โดยไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาผีบ้านผีเรือนช่วยให้พายุสงบหรือลดความรุนแรงลง และเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านใช้มีดปลายแหลมปักลงไปตามช่องแผ่นไม้ที่ใช้ปูทำพื้นบ้าน โดยให้ปลายแหลมของมีดโผล่ออกไปพ้นพื้นไม้ เพื่อใช้ ”ตัดหัวพายุ” แต่สังเกตว่า พายุก็ยังพัดถล่มอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี ไม่มีท่าทีว่า หัวพายุจะถูกมีดปลายแหลมตัดขาด แล้วทำให้พายุสิ้นฤทธิ์สงบลงแต่อย่างใด!
แต่พอ 20 ปีผ่านไป มีการพลิกแผ่นดินภูเขาไฟใหม่ มีการปลูกไม้ยืนต้นทดแทนพืชไร่ โดยในระยะแรกผลพวงจากนโยบาย ”ปลูกสวนยางล้านไร่” ของรัฐบาลยุคหนึ่ง ได้ส่งผลให้ชาวบ้านพื้นที่ดังกล่าวแห่ปลูกสวนยางกันจำนวนมาก นับว่าเข้าสู่ช่วงบูมสุดขีดของชาวสวนยางพารา สร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน..จากอีสานแล้ง กลายเป็นอีสานเขียวทันที
ยอดขายรถปิกอัพในพื้นที่พุ่งกระฉูด เจ้าของสวนยางพาราทุกแปลงต้องมีรถปิกอัพราคา 500,000-ล้านต้นๆ จอดโชว์ในบ้านแทบทุกหลังคา ไม่รวมรถที่ใช้ในการเกษตรอีกจำนวนมาก จนมีการกล่าวกันว่า “ใครมีสวนยางพารา ก็เหมือนมีตู้ ATM ตั้งอยู่หน้าบ้าน ใครขยัน ตื่นเช้าออกไปกรีดยาง ก็เหมือนไปกดเงินจากตู้กดเงินที่ตั้งอยู่หน้าบ้านนั่นเอง” ยิ่งช่วงราคายางพาราพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 100 กว่าบาท ได้สร้างเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนมาก แต่พอช่วงเวลาแห่งยุคทองของยางพาราหมดลง จึงเริ่มมีการปลูกทุเรียนดินภูเขาไฟเข้ามาทดแทนยางพาราในปัจจุบัน
ในช่วงที่ยางพาราบูมสุดขีด ชาวสวนยางก็ประสบกับเหตุการณ์พายุหมุนฤดูร้อนพัดถล่มมาแล้วเช่นกัน ทำให้สวนยางล้มระเนระนาดไม่ต่างจากภาพของต้นทุเรียนดินภูเขาไฟที่ถูกพายุพัดถล่มในวันก่อนหน้า แสดงว่า บริเวณพื้นที่แห่งนี้ มีความเสี่ยงต่อพายุหมุนหรือวาตภัยได้ทุกๆ ปี ชาวสวนจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
เหล่ากาชาดศรีสะเกษ รุดช่วยชาวสวนทุเรียน
ตามที่มีการรายงานความเสียหายของสวนทุเรียนดินภูเขาไฟไปก่อนหน้า พบว่า มีสวนทุเรียนไม่ต่ำ 20 สวนในพื้นที่ปลูกทุเรียนดินภูเขาไฟขึ้นชื่อบ้านซำขี้เหล็กได้รับความเสียหาย ไล่จากความเสียหายจากต้นทุเรียนโค่นตั้งแต่ 6 - 260 ต้นต่อสวน โดยสวนทุเรียนที่เสียหายหนักสุดคือ “สวนโชคสมปอง” ที่มี ”โอวาส บุญวัน” เป็นผู้ดูแล บนพื้นที่ 20 ไร่ ต้นทุเรียนดินภูเขาไฟอายุ 25 ปี ถูกพายุหมุนพัดถล่มหักโค่นแบบชนิดถอนรากถอนโคนถึง 260 ต้นในขั่วพริบตา!
“ในวันที่เกิดความเสียหายบ่ายๆ วันที่ 26 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมาก มีฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ก็คิดว่า ฝนคงตกปกติ แต่มีพายุหมุนมาด้วย พัดต้นทุเรียนอายุ 25 ปี ที่กำลังให้ผลผลิตหักโค่นไป 260 ต้น บ่ฮู้สิเฮ็ดจั่งได๋ เพิ่งคุยกับเถ้าแก่สิขายทุเรียนล็อตแรก 600,000 บาท ซึ่งนัดตัดทุเรียนในวันที่ 28 เมษายน 2562 แต่โชคร้ายมาถูกพายุพัดถล่มเสียก่อน จึงขายทุเรียนที่หล่นในราคา 9 สตางค์ต่อกิโลกรัมได้เงินมา 6,000 บาท” นายโอวาส บุญวัน เจ้าของสวนทุเรียนกล่าวกับสำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
ขณะที่ ”พัสกร โคตรมงคล” เจ้าของสวนทุเรียนดินภูเขาไฟ ที่มีสวนทุเรียนอายุ 4 ปีที่อยู่ใกล้กับบริเวณสวนทุเรียนโชคสมปอง กล่าวว่า “ในวันที่เกิดเหตุการณ์พายุหมุนพัดถล่มสวนทุเรียนโชคสมปอง ได้ยินพายุหมุนพัดต้นทุเรียนหักและโค่นลง เสียงดังมาก..ปัง ปัง ปัง เหมือนกับเสียงช้างวิ่งแตกตื่นอะไรสักอย่าง แล้วชนไม้ล้ม ไม่ถึงเสี้ยววินาทีมองเห็นต้นทุเรียนขนาดใหญ่ล้มระเนระนาดต่อหน้าต่อตา ส่วนสวนของตนเองเป็นทุเรียนสาวอายุ 4 ปีโค่นลง 9 ต้น"
ส่วนสวนทุเรียน ”โคตรมงคล” แปลงใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน มีทุเรียนพร้อมตัดและได้นัดกับเถ้าแก่ส่งลูกน้องมาตัดในวันเดียวกันกับสวนโชคสมปอง แต่ถูกพายุหมุนพัดถล่มเสียหาย จากมูลค่าทุเรียน 1,200,000 บาท..เงินก้อนโตก้อนแรกของฤดูกาลผลิตทุเรียนในปีนี้หายวับไปกับตา..เศร้า..อ่านว่า..”เศร้า”
หลังจากพายุแห่งความโชคร้ายสงบลง ความโชคดีของชาวสวนทุเรียนก็เกิดขึ้น ปรากฎการณ์แห่งน้ำใจของเพื่อนบ้านในพื้นที่อีสานใต้และพื้นที่อื่นๆ นอกจากส่งกำลังใจให้กับชาวสวนที่ประสบกับวาตภัยอย่างไม่คาดคิดมาก่อนในครั้งนี้ ให้ลุกขึ้นสู้กันใหม่แล้ว ยังมีผู้มีน้ำใจจำนวนมากเดินทางมาถึงสวนทุเรียนดินภูเขาไฟ โดยบอกว่า ตั้งใจมาซื้อทุเรียนที่หล่นจากพายุพัดถล่ม แม้ทุเรียนยังไม่แก่จัด เพื่อนำไปทาน เอาไปแปรรูปเป็นทุเรียนกวน และทุเรียนทอดคล้ายมันฝรั่งทอดหรือเฟรนซ์ฟรายด์ทุเรียน
นอกจากนี้ เพื่อนบ้านอีกหลายคนมีน้ำใจอยากช่วยเหลือ โดยขอซื้อทุเรียนในราคา 40-50 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อนำไปทานเอง ทำบุญและแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงและญาติ ๆ สวนทุเรียนที่ทานไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นทุเรียนลูกขนาดเล็ก เปอร์เซนต์เนื้อและแป้งยังไม่ได้ จะมีพ่อค้าจากจันทบุรีมาซื้อกิโลกรัมละ 9 สตางค์ เพื่อไปทำเป็นส่วนผสมของไอศกรีม!
น้ำใจเพื่อนบ้านยังหลั่งไหลมาช่วยชาวสวนทุเรียนอย่างไม่ขาดสาย โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ”ชุติพร วิจิตร์แสงศรี” ภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ในฐานะนายกเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะ ได้เดินทางมามอบเงินจากการจัดกิจกรรมของเหล่ากาชาดฯ จำนวนหนึ่งให้สวนทุเรียนดินภูเขาไฟโชคสมปองและสวนแม่เงิน ซึ่งทั้งสองสวนเสียหายอย่างหนักจากพายุพัดถล่ม หลังจากนั้นจะมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะให้ความช่วยเหลือชาวสวนทุเรียนที่ประสบวาตภัยในครั้งนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากน้ำใจที่หลั่งไหลมาช่วยชาวสวนทุดินภูเขาไฟในครั้งนี้ จึงขอให้ชาวสวน ”เปลี่ยนวิกฤต ให้เป็นโอกาส” โดยการดูแลผลิตทุเรียนดินภูเขาไฟที่ขึ้นชื่อและติดลมบนทางด้านการตลาด เป็นที่นิยมชมชอบของคนรักทุเรียนกันแล้วให้เป็นอย่างดี
จะต้องตอกย้ำว่า “ชาวสวนต้องไม่ตัดทุเรียนอ่อนขาย” และขายในราคาที่สมเหตุสมผล หรือโดยยึดราคาขายในท้องตลาดเป็นสำคัญ หรือเข้าใจกันง่ายๆ ว่า “ไม่โก่งราคาขายทุเรียนกับผู้บริโภค” และที่สำคัญกลุ่มผู้บริโภคต้องได้ทุเรียนดินภูเขาไฟที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย “กรอบนอก นุ่มใน หวานน้อย กลิ่นไม่ฉุน เนื้อไม่ติดมือ” ที่เป็นจุดเด่นของทุเรียนดินภูเขาไฟ
และถือว่าสูตรสำเร็จทางด้านการตลาดของทุเรียนดินภูเขาไฟเลยก็ว่าได้ และหากชาวสวนยึดตามแนวทางดังกล่าว รับรองว่า จะทำให้ทุเรียนดินภูเขาไฟเป็นที่ชื่นชอบของคนรักทุเรียนไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียวเชียว!