ไม่เพียงการประเคนสัมปทานโครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ สถานีมักกะสัน ทำเลทองผืนสุดท้ายใจกลางกรุงเนื้อที่กว่า 150 ไร่ มูลค่านับแสนล้านบาท ที่ถูก "มัดตราสัง" แถมพกไปให้กับเอกชนผู้รับสัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินไปแบบไม่ต้องประมูลแล้ว
อีก 2 โครงการที่เหลือที่ถูกรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มัดตราสังผนวกไว้ เป็นโครงการเดียวกันอย่างแยบยล ภายใต้นโยบาย "พีพีพี" สุดพิสดารนั้น ยังมีปมเขื่องทีประชาชนคนไทยคาดไม่ถึง....
สัมปทานพิสดาร "ไฮสปีดเทรน"
มาถึงโครงการรถไฟไฮสปีดเทรน "เชื่อม 3 สนามบิน” (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม.วงเงินลงทุน 2.24 แสนล้านบาท ลำพังการตั้งเงื่อนไขการร่วมลงทุน "สุดพิสดาร "ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ได้อนุมัติกรอบร่วมลงทุนเอาไว้ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนงบก่อสร้างร่วมลงทุนกับเอกชนผู้รับสัมปทานภายใต้วงเงินไม่เกิน 119,000 ล้านบาท และจะพิจารณาข้อเสนอทางการเงินของบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลรายใด เสนอขอรับการสนับสนับทางการเงินจากภาครัฐ "ต่ำสุด" เป็นเกณฑ์ชี้ขาดนั้น ก็ถือเป็นความแปลกประหลาดที่ไม่มีโครงการใดดำเนินการมาก่อนอยู่แล้ว
โครงการที่มีมูลค่าลงทุน 2.24 แสนล้านบาทโดยรัฐอุดหนุนการลงทุนให้แก่เอกชนระหว่างการก่อสร้างไปกว่าแสนล้านบาท ไม่รวมสิทธิพิเศษทางภาษีและมาตรการส่งเสริมการลงทุนในระดับสูงสุดตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษเศรษฐกิจภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ที่โครงการจะได้รับสิทธิพิเศษที่เอื้อจากการลงทุยระดับสูงสุดไปโดยปริยายนั้น
ย่อมทำให้ ต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายนี้ “พลิกผันจากที่ขาดทุนตั้งแต่ในมุ้ง มาเป็นแทบจะมีกำไรตั้งแต่ยังไม่ออกสตาร์ท”อยู่แล้ว
บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานสามารถจะนำเอาทรัพย์สินในโครงการสัมปทาน BTO ที่มีมูลค่าลงทุนกว่า 2.24 แสนล้านบาทไปหาประโยชน์ได้ถึง 50 ปี ยังไม่รวมสิทธิ์ในการพัฒนาที่ดินรอบสถานีรถไฟฟ้าและการลงทุนอื่นๆ ที่จะมีตามมาอีก
เปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าอื่นๆ แล้วแตกต่างกันลิบลับ..
แต่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ยังแถมโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ มูลค่าลงทุนกว่า 35,000 ล้าน และที่ดินทำเลทองผืนสุดท้ายใจกลางกรุง คือ สถานีรถไฟฟ้ามักกะสัน มูลค่านับแสนล้านบาท ไปให้เอกชนนี้โดยไม่ต้องประมูลด้วยอีก!
เห็นแล้วก็ให้สะท้อนนึกย้อนไปถึงโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนลาวาลิน มูลค่า 42,000 ล้านบาท ที่ถือเป็นโครงการรถไฟฟ้าต้นแบบโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนใน กทม. ในปัจจุบัน แต่โครงการดังกล่าวที่เปิดประมูลสัมปทานสุดมาราธอนตั้งแต่เมื่อปี 2530 -2533 ก่อนที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2533 จะเห็นชอบให้กลุ่มบริษัท ลาวาลิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ชนะประมูล
แต่โครงการดังกล่าวกลับถูกรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน สั่งล้มโครงการไป เพียงเพราะบริษัทเอกชนผู้ชนะการประมูล ตั้งเงื่อนไขทางการเงินจะขอให้รัฐบาลไทยค้ำประกันเงินกู้จากธนาคาร EximBank จากแคนาดา วงเงิน 800 ล้านเหรียญ หรือมูลค่าเพียง 16,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่เป็นโครงการที่คู่สัญญาภาครัฐ คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ต้องเข้าร่วมลงทุนด้วย ในสัดส่วนไม่เกิน 25%
แต่เมื่อรัฐมองว่า การดึงรัฐเจ้าไปค้ำประกันเงินกู้ซอฟท์โลน เพื่อช่วยเหลือโครงการนั้น อยู่นอกเหนือเงื่อนไขทีโออาร์ และถือเป็นการลากเอารัฐบาลเข้าไปค้ำประกันโครงการเอกชนที่อาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนเอาได้ จึงมีมติให้ยกเลิกสัมปทานโครงการดังกล่าวไป
เมื่อเปรียบเทียบกับเงื่อนไขทางการเงินนับแสนล้านบาทที่รัฐบาลได้อนุมัติให้การสนับสนุนบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทาน ยังไม่รวมเงื่อนไขทางการเงิน และมาตรการให้การส่งเสริมการลงทุนพิเศษอื่นๆ ด้วยนั้น หากไม่ถือเป็นมหกรรมส่อปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ก็ไม่รู้จะให้เรียกว่านโยบายอะไร?
แอร์พอร์ตเรลลิงค์ 3.5 หมื่นล้าน!
กับโครงการ "แอร์พอร์ตเรลลิงค์" ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด มูลค่าลงทุนกว่า 35,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นโครงการสุดอาภัพที่ทำให้การรถไฟฯ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ต้องประสบกับการขาดทุนบักโกรกจากการให้บริการ
แต่หากการรถไฟฯ จะประมูลหาเอกชนเข้ามารับสัมปทานบริหาร เฉกเช่นที่ กทม. ว่าจ้าง บริษัทกรุงเทพธนาคม และ BTS เข้ามาบริหารจัดการ รถไฟฟ้า กทม. ก็ย่อมสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยสามารถตั้งเงื่อนไขให้บริษัทเอกชนที่จะเข้ามารับสัมปทาน ได้เสนอเงื่อนไขทางการเงินการบริหารจัดการที่ใช้ประโยชน์ ต่อผู้ใช้บริการและ ประเทศชาติมากที่สุด
แต่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมกลับเลือกที่จะประเคน รถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ลงทุนไปกว่า 35,000 ล้านบาทนี้ แถมพกไปให้เอกชนถึง 50 ปี เพียงเพื่อแลกกับค่าต๋ง 10,700 ล้านบาทเศษเท่านั้น
ถือเป็นการให้สัมปทานแก่เอกชนสุดพิสดารอีกโครงการ!
การที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา "มัดตราสัง" 3 โครงการเมกะโปรเจ็กต์ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 350,000 ล้านบาทนี้ไปให้กลุ่มทุนเอกชนรายเดียวผูกขาด ผ่านนโยบาย "PPP" สุดพิสดาร ข้างต้นนั้น ด้วยความเร่งรีบในการ "ปิดดีล" กับกลุ่มทุนที่เข้ามารับสัมปทาน ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามา โดยคณะทำงานต้องพิจารณาแต่เพียงข้อเสนอทางการเงินอัน "ฉาบฉวย" ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่า มันจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนคนไทยในอนาคตไม่สิ้นสุด
บทเรียนกรณีค่าโง่ทางด่วนหลายสิบโครงการ ที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐต้องพ่ายแพ้ จ่ายค่าโง่ให้แก่บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทาน จนต้องให้พยายามหาทางขยายสัมปทานไปชั่วลูกชั่วหลานกัน หรือกรณีสด ๆ ร้อนๆ ”ค่าโง่โฮปเวลล์” ที่ท้ายที่สุด ภาครัฐและการรถไฟฯ ต้องวิ่งรอกหาแหล่งเงิน จ่ายค่าโง่กว่า 25,000 ล้าน ให้กับบริษัทเอกชน โดยที่ยังไม่สามารถจะจับมือใครดมได้
3 โครงการ Mega project ที่รัฐบาล "มัดตราสัง" ประเคนให้ทุนเอกชนรายใหญ่ ที่ได้ชื่อว่ากำลัง "กินรวบประเทศไทย" อยู่นั้น
ท้ายที่สุด เราเชื่อแน่ว่า ด้วยเงื่อนไขการเจรจาที่ปราศจากความรอบคอบหลายต่อหลายเงื่อนไข ดำเนินการอย่าง ”สุกเอาเผากิน” โดยกลุ่มบุคคลที่ปราศจากความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านอย่างแท้จริงนั้น ..
จะทำให้โครงการนี้ลงเอยยิ่งกว่า "ค่าโง่โฮปเวลล์" มูลค่ากว่า 25,000 ล้าน ที่ประชาชนคนไทยกำลังตั้งข้อกังขาเอากับการรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคมในขณะนี้อย่างแน่นอน!!!