อึ้งกันทั้งโลก! กับแนวคิดที่ “ผู้นำสูงสุดของจีน” อย่าง...สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ฯ รณรงค์เชิงออกคำสั่งให้ชาวจีนกว่า 1.4 พันล้านคน “กินอาหารเกลี้ยงจาน”
นัยว่า...เพื่อลดปริมาณขยะอาหารเหลือทิ้ง จากพฤติกรรม “กินทิ้งกินขว้าง” ของเพื่อนร่วมชาติ และยังเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน “เปลี่ยนเก่าสู่ใหม่” เนื่องจากที่ผ่านมา ชาวจีนมักสั่งอาหารมาประดับขนโต๊ะอาหารมากเกินกว่าความต้องการของจำนวนคนที่มี
ด้วยเหตุที่ต้องรักษาหน้าตัวเองเอาไว้ เพราะความว่างเปล่าบนจานอาหาร หมายถึงความบกพร่องของเจ้าภาพในมื้ออาหารนั้นๆ สะท้อนภาพ “ขาดกำลังทรัพย์” จึงไม่อาจสั่งอาหารให้เพียงพอในการต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานได้
แต่วัฒนธรรมล้าหลังนี้ กำลังจะสูญสลายไปจากสังคมจีน ทันทีที่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศใช้แนวคิดนี้ และเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที! ยังผลให้ภัตตาคารและร้านอาหารทั่วประเทศจีน ต้องติดป้ายรณรงค์ “ไม่กินทิ้งกินขว้าง” เช่น ลูกค้าที่มารับประทานอาหารเป็นกลุ่ม ต้องสั่งจำนวนอาหารน้อยกว่าจำนวนคนที่มา 1 จาน กล่าวคือ หากมากัน 5 คน สั่งอาหารได้สูงสุดแค่ 4 จาน
แม้จะถูกต่อต้านและวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายเข้มงวดเกินไป ทว่าปรากฏการณ์นี้ กลับได้รับความร่วมมือจากชาวจีนส่วนใหญ่ และได้รับคำชมจากทั่วโลก
เรื่องอย่างนี้ ถ้าเป็นที่ประเทศไทย คงถูกด่าเปิดเปิง!
ที่ต้องด่า! หาใช่เพราะเป็นนโยบายที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม แต่เพราะ “ผู้นำไทย” ทุกยุคสมัย...ไม่ได้สร้างและปลูกฝังค่านิยม “เชื่อฟังและพร้อมทำตามผู้นำ” มาก่อน
ต่างจากประเทศจีน ที่การสรรหา “ผู้นำ” ของเขา ถูกจับตามองกันมายาวนาน 20-30 ปี ตั้งแต่ที่...“ยังเติร์ก” กลุ่มนี้ เพิ่งก้าวสู่ตำแหน่งนักบริหารระดับเล็กๆ จากนั้น...ได้สร้างเครดิตในการทำหน้าที่บนสายงานความรับผิดชอบ ด้วยสำนึกบุญคุณ ทั้งต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่อประเทศชาติ ต่อบรรพบุรุษ และต่อประชาชนจีน
“ให้จึงได้รับ” นั่นเพราะ “อดีตผู้นำ-ยังเติร์ก” ที่วันนี้...เติบโตจนกล้าแกร่ง ก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำสูงสุด” สะสมอำนาจและบารมีมายาวนาน เมื่อถึงวันที่ต้องประกาศจุดยืน เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนจีนเป็นที่ตั้ง พวกเขาจึงมีความกล้าหาญเพียงพอจะสั่งการในแบบที่ได้รับการตอบรับจากเพื่อนร่วมชาติ
นับแต่เหตุการณ์...การรับมือและต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่พวกเขาใช้เวลาเพียง 90 วัน กระทั่งสามารถจะเอาชนะเจ้าเชื้อไวรัสตัวร้ายได้ ก็เพราะประชาชนจีนทั้งกว่า 1.4 พันล้านคน เชื่อฟังและพร้อมทำตามคำสั่งของ “ผู้นำจีน”
สิ่งนี้...เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนักกับนานาอารยประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ช่วงการเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็เป็น...ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ประกาศ “นำทัพรัฐจีน” ลงพื้นที่ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ ด้วยตัวเอง และบัญชาการเอง จนได้รับยกย่องให้เป็นทั้ง...ศูนย์กลางในการบังคับบัญชา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของเพื่อนร่วมชาติ ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19
หลายนโยบายของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ไม่เพียงเป็น “แนวทาง” ให้เจ้าหน้าที่รัฐของจีนต้องเร่งดำเนินการ หากยังกลายเป็น “แบบเรียน” จากความสำเร็จ ที่ถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลของหลายๆ ประเทศ เพื่อนำไปปรับใช้ในการต่อสู้กับไวรัสตัวร้ายนี้
“ชีวิตของประชาชนเป็นใหญ่ – ระบบบัญชาการที่มีประสิทธิภาพ – ระดมกำลังทั่วประเทศ - ป้องกันและควบคุมตามหลักวิทยาศาสตร์” นั่นคือ แนวทางรัฐบาลจีน จากนั้น พวกเขาเร่งรักษาเสถียรภาพ 6 ด้าน และสร้างการคุ้มครอง 6 ด้าน ประกอบด้วย...
รักษาเสถียรภาพด้าน...“การจ้างงาน - การเงิน - การค้าระหว่างประเทศ - การลงทุนในต่างประเทศ - การลงทุนในประเทศ - ความคาดหวัง”
คุ้มครองด้าน...“การมีงานทำของประชาชน- ความมั่นคงในชีวิตและความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน – กลไกการตลาดทำงานได้อย่างมีเอกเทศ - ความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร - ความมั่นคงห่วงโซอุปทานและอุตสาหกรรม - สภาพสังคมที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น”
ทั้งหมดนำมาซึ่ง “ความเชื่อมั่น - ความร่วมมือ - ความสำเร็จ” ที่รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้รับจากประชาชนของพวกเขา
สะท้อนความสำเร็จในเบื้องต้น นั่นคือ การรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ หลังจากพวกเขาได้จัดส่งทั้งแนวคิดและวิธีการดำเนินการต่อสู้กับเจ้าไวรัสโควิด-19 รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือ และเวชภัณฑ์ ไปยังรัฐบาลของหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย...
ไม่เว้นแม้กระทั่ง มหาอำนาจของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะกล่าวหาว่าจีน คือ “ต้นตอ” ของไวรัสโควิด-19 กระนั้น ยังต้องเปิดรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน
อีกความสำเร็จที่พิสูจน์ได้ในเชิงตัวเลขเศรษฐกิจ นั่นคือ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลจีน ที่ค่อนข้างชัดเจนและมีเป้าหมายเด่นชัดในการจะเอาชนะไวรัสโควิด-19 ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ มากประสิทธิผล กระทั่งตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของจีน พุ่งขึ้นไปถึง 3.2%
นับเป็นชาติมหาอำนาจแรกๆ ที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จากติดลบจนกลายเป็นบวก
คำถามคือ... หากชาวจีนกว่า 1.4 พันล้านคน ไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำประเทศ แล้วประเทศจีนจะสามารถก้าวมาสู่วันนี้...ได้หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ง่าย และไม่น่าจะเป็นไปได้...มากที่สุด!
หากใครได้มีโอกาสอ่านหนังสือ 2 เล่มที่ดังสุดๆ ของประเทศจีน หนึ่งคือ “สี จิ้นผิง : ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ” เล่มที่ 3 และอีกหนึ่งคือ “เส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจจีน” จะไม่ลังเลใจเลย หากยอมรับในการ “เชื่อผู้นำ” ของประชาชนจีน
นั่นเพราะ “ผู้นำรุ่นต่างๆ” ของจีน นับแต่...ประธานฯเหมา เจ๋อตง, ประธานฯเติ้ง เสี่ยวผิง เรื่อยจนถึง ผู้นำจีนคนปัจจุบัน อย่าง...ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
มองจีนแล้วย้อนกลับมามองไทย หรือถ้าจะใช้คำแรงๆ ก็ต้องบอกว่า...“ส่องกระจกมองจีน แล้วชะโงกมองดูไทย” จะเห็นถึงความแตกต่างกันแบบ “เหวนรก กับสรรค์ชั้นฟ้า”
ตั้งแต่ที่มาของ “ผู้นำประเทศ” เรื่อยไปจนถึง “คำมั่นสัญญา” ที่ให้ไว้กับประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก...หากคนจีนพร้อมจะเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัว “ผู้นำประเทศ” พร้อมจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญชาการลงมา นั่นเพราะพวกเขาเชื่อใจและเชื่อมั่นอย่างแรกกล้าว่า...
“ผู้นำ” ของเขา...จะพาพวกเขาและประเทศชาติ ก้าวไปสู่ “จุดที่ดีกว่า” หาต้อง “เข้ารกเข้าพง” เหมือนผู้นำบางประเทศ
“ส่องกระจกมองจีน แล้วชะโงกมองดูไทย” คนไทยก็คงได้แต่...ทำใจและเศร้าใจไปในเวลาเดียวกัน!