5 ปีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังจะเวียนมาครบรอบอีกครั้ง ในวันที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ กับผลงานการบริหารประเทศ โดยเฉพาะในแง่ของความสงบเรียบร้อย ถือว่าได้ผลดีเกินคาด บ้านเมืองไทยไร้ม็อบใหญ่ ขณะที่ม็อบเล็ก มีประปรายให้ได้เห็นกันบ้าง...จากฝั่งคน “ต่อต้านเผด็จการ” แต่ก็จัดว่ามีน้อยเต็มทน และไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของ คสช. และรัฐบาลของ คสช. แต่อย่างใด?
ผลจากความเงียบ! เพราะ “แรงกดทับ” แห่งอำนาจปลายปืน และอำนาจรัฐในยุค คสช. ส่งชิ่งกระทบไปยังภาคธุรกิจมากมายหลายแขนง กระทั่งเกิดเป็นภาวะชะงักงันและเงียบเชียบตามๆ กันไป
หลายคนบ่นอุบ! เศรษฐกิจแย่ ค้าขายขาดทุน เงินสดรับมีน้อย ขณะที่ต้นทุนสินค้าและต้นทุนชีวิตพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย อย่าว่าแต่พ่อค้าแม่ขาย ยันนักธุรกิจเล็ก-ใหญ่ จนถึงผู้ส่งออกและนำเข้าเลย มหาเศรษฐีบางตระกูล? ที่ไม่ได้ “ผูกปิ่นโต” ไว้กับ “คนในอำนาจรัฐ” ยุคนี้ ก็พลอยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่เหตุใด? ชาวบ้าน เกษตรกร คนหาเช้ากินค่ำ แรงงานรับจ้าง และมนุษย์เงินเดือน ฯลฯ ต่างก็ได้รับผลกระทบจาก 5 ปี คสช. กระทั่ง ตกอยู่ในภาวะ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” เหมือนกันทั้งแผ่นดิน
หากดูในภาพใหญ่ จำนวน “หนี้สาธารณะ” หรือเรียกอีกนัยนึงว่า... ”หนี้สินของประเทศ” ซึ่งเป็นหนี้สินที่คนไทยทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ก็พุ่งทะยานจนน่าใจหาย กับตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุเอาไว้ เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2562 แม้จะไม่ตรงกับสิ่งที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง บอกไว้...แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงพอๆ กัน
เม็ดเงินเฉียดๆ 7 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 41 ของจีดีพี คือ ตัวเลขกลางๆ สำหรับ “หนี้สาธารณะ” ในซีกของภาคการคลัง ยังไม่นับรวมหนี้สินในซีกของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งยกมือแก้ไข พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ ไม่นับเป็น “หนี้สาธารณะ” รวมกับหนี้สินภาคการคลัง เมื่อช่วงกรกฎาคม 2560 นี้เอง
แต่ก็มีคำถามตามมามากมายว่า...หากการบริหารภายในธนาคารแห่งประเทศไทย เกิดความผิดพลาดเหมือนเมื่อครั้ง “พ่ายแพ้” ในสงครามโจมตีค่าเงินบาท เช่นที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับมูลหนี้กว่า 5 ล้านล้านบาท ในซีกของธนาคารแห่งประเทศไทย
คนไทยไม่ต้องร่วมรับผิดชอบจริงๆ กระนั้นหรือ?
การที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เข้ามาโอบอุ้มสถาบันการเงินเกือบ 50 แห่ง กระทั่งต้องปิดกิจการกันไป ภายหลังการ “พ่ายแพ้” ในสงครามโจมตีค่าเงินบาท และจนถึงวันนี้...ก็ยังเคลียร์หนี้สินที่คั่งค้างไม่หมดเสียที..
สิ่งนี้ คือ “บาดแผลที่สะท้อนความล้มเหลวของธนาคารแห่งประเทศไทย ใช่หรือไม่?”
และที่สำคัญมันส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม และวิถีชีวิตของคนไทยจนอยากจะปฏิเสธได้ หรือใครจะเถียง!!!
หากนับรวมหนี้สิน ทั้งจากภาคการคลัง (รัฐบาล) และภาคการเงิน (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นหนี้สินของประเทศ โดยมีรวมกันราว 12 ล้านล้านบาท หรือ 3 เท่าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปีแล้ว ย่อมต้องถือว่า...สถานะการเงินของไทย ตกอยู่ในภาวะ “เสี่ยงสุดๆ”
เมื่อประเทศชาติเป็นหนี้ คนในชาติย่อมกลายเป็น “คนมีหนี้ติดตัว” ไปด้วยเช่นกัน
การผ่อนชำระหนี้สินของคนไทย จึงถูก “รีดนาทาเร้น” มาจากการเรียกเก็บภาษี ทั้งภาษีทางตรง (ภาษีเงินได้ฯ / ภาษีมูลค่าเพิ่ม) และภาษีทางอ้อม (ภาษีบาป/เหล้า-เบียร์-บุหรี่-อื่นๆ) เพื่อนำไปชำระคืนหนี้สิน ทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยจ่ายจำนวนมหาศาล และไม่รู้ว่าจะอีกกี่สิบกี่ร้อยปี ประเทศไทยและคนไทยจึงจะหมดภาระหนี้ในส่วนหนี้
ท่ามกลางกระแสข่าว...ประเทศไทยมีหนี้สินล้นพ้นตัว? ก็เกิด “2 ข่าวใหญ่” แทรกตัวขึ้นกลางครัน หนึ่ง...คือข่าวที่สื่อต่างชาติแฉ! คนในรัฐบาลไทย ยุค คสช. เรืองอำนาจ มีทรัพย์สินสะสมอยู่ในบัญชีต่างประเทศรวมๆ กันมากกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท และนับเป็นคนรวยติดอันดับ 1 ใน 45 ของมหาเศรษฐีของเอเชียกันเลยทีเดียว
อีกหนึ่ง...คือ ข่าวที่ “รัฐบาลไทยถังแตก!” กระทั่ง กรมสรรพากรต้องเดินหน้า “ตามล้างตามเช็ด” ไล่จัดเก็บภาษี ดังที่ปรากฏข่าว “เรียกเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% ในส่วนที่มีรายได้เกิน 20,000 บาทต่อปี” ให้ได้เห็นในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนต้องออกมาแก้ข่าวกันอุตลุดเช่นกัน
แต่สิ่งที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ตอบคำถามของนักข่าวก็คือ เหตุผลที่กรมสรรพากรจำต้องเดินหน้าจัดเก็บภาษี หาใช่เพราะ “รัฐบาลไทยถังแตก!” แต่เพราะต้องการสร้างความชอบธรรม และดึงคนนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง ส่วนหนึ่งเพราะ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ได้พัฒนาจนถึงขั้น “ขีดสุด” สามารถตรวจสอบย้อนหลังถึงพฤติกรรมของผู้ประกอบการ/นักธุรกิจ ว่าอยู่ในข่าย...มีพฤติกรรม “หลีกเลี่ยงภาษี” หรือไม่? อย่างใด?
อีกส่วนหนึ่ง เพราะกรมสรรพากรมองเห็นสัญญาณผิดปกติบางอย่าง? จากทั้งในและนอกประเทศ ว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และดำเนินงานของภาคธุรกิจเอกชน ไม่ว่าจะเป็น...ด้านการส่งออกและนำเข้า การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการหดตัวของตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) กระทั่งส่งผลกระบทบอย่างแรงต่อการจัดเก็บภาษี เพื่อนำไปเป็นรายได้แผ่นดินอีกทอดหนึ่ง
นั่นเอง จึงทำให้กรมสรรพากร “เดินหน้า” ตามล้างตามเช็ดและไล่บี้ “คนหนีภาษี” พร้อมกับดึงให้คนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในระบบโดยเร็วที่สุด เพราะ “อุดรูรั่ว” ของปัญหาเศรษฐกิจในภาพใหญ่
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา กรมสรรพการเพิ่งจัดงานที่ชื่อ “เสี่ยงกว่ามั้ย...ถ้าไม่ใช้บัญชีเดียว” โดยดึงเอา 17 สถาบันการเงินมาร่วมงาน พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน “เฟซบุ๊กไลฟ์” ไปทั่วประเทศ เป้าหมายคือ ให้ผู้ประกอบการ ทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีและไม่ใช่เอสเอ็มอี ซึ่งทั่วประเทศ (อ่านข่าวประกอบ.... http://www.natethip.com/news.php?id=303)
มีทั้งที่ขึ้นบัญชีการประกอบธุรกิจและไม่ขึ้นบัญชีฯ รวมถึงมากถึง 5.2 ล้านราย ทว่าในจำนวนนี้ มีเพียงกลุ่มที่ยื่นเสียภาษีจริงๆ จังๆ แค่ 400,000 รายเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้กรมสรรพากร จำเป็นต้อง “ไล่บี้-ตามล้างตามเช็ด” กันขนานใหญ่ เพื่อดึงเอาคนกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบภาษีโดยเร็ว
หัวข้อหนึ่งที่ “คนหนีภาษี” ฟังแล้ว อาจต้อง “ขนหัวลุก” นั่นคือ “10 สัญญาณ ความเสี่ยงธุรกิจ” ซึ่ง นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ออกมากล่าวเตือนในเวทีเดียวกัน ส่งสารไปยังบรรดาผู้ประกอบการ ให้ต้องระมัดระวัง “จุดเสี่ยงธุรกิจ” จาก “10 สัญญาณอันตราย” ที่หากปล่อยทิ้งไว้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อาจกลายเป็นปัญหาตามมาในอนาคต..
โดยเฉพาะการถูกสุ่มตรวจสอบภาษีย้อนหลัง เนื่องจากกรมสรรพากรวันนี้ มีทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่เองก็มีประสบการณ์มากพอจะวินิจฉัยหรือประเมินได้ว่าผู้ประกอบการรายใดอยู่ในภาวะมีความเสี่ยงดังกล่าว
ทั้งนี้ 10 สัญญาณความเสี่ยงธุรกิจ ประกอบด้วย 1. กลุ่มสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นรายการ “ธุรกิจที่ใช้เงินสดเป็นหลัก” และ “สินค้าคงเหลือไม่ถูกต้อง” รวมถึงแจ้งแสดงรายการบัญชีว่า “ไม่มีสินทรัพย์” หรือ “มีสินทรัพย์มากผิดปกติ”
2. กลุ่มหนี้สินและทุน มักจะพบว่ามีการทำบัญชีในทำนองว่ามี “เงินกู้ยืมจากกรรมการบริษัทมาก กระทั่งไม่สามารถชี้แจงได้” ขณะที่ กลุ่มรายได้นั้น มักจะทำรายการ “บันทึกรายได้ไม่ถูกต้อง” และ/หรือ “บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน”
และ 3. กลุ่มค่าใช้จ่าย ส่วนมากจะพบว่าการจัดทำบัญชีในลักษณะ “ค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่รายได้ลดลง” และ “ค่าใช้จ่ายสูง เมื่อเทียบกับรายได้” รวมถึง ทำการ “สร้างค่าใช้จ่ายเท็จ”
“ทั้ง 10 สัญญาณ ความเสี่ยงธุรกิจนี้ ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีเพียงรายการเดียว หรือมีมากกว่า 1 รายการ ก็อยู่ในวิสัยที่กรมสรรพากร สามารถจะตรวจสอบย้อนหลังกลับไปได้ จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ ซึ่งบางคนอาจไม่ได้ตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้กลับเข้าสู่ระบบบัญชีเดียวอย่างถูกต้องต่อไป ซึ่งการเข้ามาอยู่ในระบบบัญชีเดียว และมีการจัดงบการเงินที่ถูกต้องนั้น จะส่งผลดีอย่างมากมายตามมาทีเดียว” รองอธิบดีกรมสรรพากรย้ำให้สยอง
ถึงตรงนี้ คนไทยและผู้ประกอบการไทย จะคิดอ่านการใด? ก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า! ทว่า สำนักข่าว “เนตรทิพย์” เพียงแค่นำเสนอ...ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเคลื่อนไหว ทั้งภาพใหญ่และภาพเล็ก มาฉายซ้ำให้ดูกันอีกหน เพื่อเตือนสติให้ทั้งคนไทยและผู้ประกอบการไทย ได้รับรู้อย่างเท่าทัน เพื่อการเตรียมตัวอย่างทันท่วงที ก็เท่านั้นจริงๆ!!!.
โดย กากบาทดำ