สัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการสัมปทานรัฐจ่อเคว้ง รอรัฐบาลใหม่ชี้ขาด หลัง รมต.รัฐบาลประยุทธ์ ตบเท้าลาออกไปเป็น ส.ว.เป็นทิวแถว ด้านอดีต รมว.คลัง ติงรัฐเร่งปิดดีลทำรัฐเสียประโยชน์มหาศาล
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐมนตรี 15 คน ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตบเท้ายื่นใบลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ใหม่ว่า ส่งผลกระทบถึงการดำเนินโครงการสัมปทานรัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้ยกแผง โดยเฉพาะโครงการรถไฟไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง และพันธมิตร (ซีพี) ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ ผลจากการที่รัฐมนตรีลาออกไปดังกล่าว ยังผลให้การประชุมคณะมนตรีที่จะมีขึ้นหลังจากนี้ แทบจะอยู่ในฐานะรัฐบาลรักษาการอย่างแท้จริง จึงทำให้การจะนำโครงการสัมปทานมูลค่านับแสนล้านบาทเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติจึงเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง และคาดว่ากระทรวงคมนาคม และสำนักงานเลขาธิการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) คงจะนำโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ FB ระบุว่าได้ทำหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอขา เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนสัมปทานโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน
โดยระบุถึงกรณีที่การรถไฟฯ เร่งรัดเจรจากับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง และพันธมิตร (ซีพี) ในโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.2 แสนล้าน ว่า โดยสภาพของการเดินทางนั้น ผู้โดยสารหลักจะเดินทางระหว่างเมือง มากกว่าระหว่างสนามบินอู่ตะเภามากรุงเทพฯ จึงสามารถใช้ระบบรางคู่เพื่อทำความเร็วปานกลางได้เพียงพออยู่แล้ว
การที่รัฐจะทำโครงการไฮสปีดที่ใช้เงินของประชาชนไปสนับสนุนเอกชนกว่า 117,227 ล้านบาท และค่าเวนคืนที่ดินเพื่อให้เอกชนใช้ประโยชน์อีก 3,570 ล้านบาท รวมทั้งรัฐยังต้องรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของแอร์พอร์ต เรลลิงค์อีก 22,558 ล้านบาท รวมต้องใช้เงินประชาชนเพื่อสนับสนุนให้เอกชนถึง 143,355 ล้านบาท ทั้งที่การปรับรถไฟรางคู่ให้เป็นความเร็วปานกลางจะมีประสิทธิภาพพอเพียงและจะลงทุนน้อยกว่าหลายเท่า
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนที่การรถไฟฯ ได้รับ จากโครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟมักกะสัน 150 ไร่ เพียง 52,336 ล้านบาท ในระยะ 50 ปีนั้น หากเปรียบเทียบกับ โครงการพัฒนาที่ดิน 47 ไร่สามเหลี่ยมพหลโยธิน (ห้าแยกลาดพร้าว) ที่การรถไฟฯ ให้สัมปทานกับกลุ่มเซ็นทรัลไปเมื่อปี 2551 นั้น รถไฟได้ผลตอบแทน 21,300 ล้านบาท จากการให้สัมปทานพัฒนาที่ดิน 20 ปี เทียบกับผลตอบแทน ที่ รฟท. ได้รับจากกลุ่มซีพีนั้น ถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
ดังนั้น รัฐจึงควรจะเปลี่ยนวิธีประมูล โดยใช้หลักการผลประโยชน์จากรายได้ส่วนเกิน เฉพาะกรณีที่มีกลไกที่รัฐสามารถตรวจสอบเพื่อยืนยันความเป็นธรรมในตัวเลขต่างๆ อย่างแน่นอนเท่านั้น "โครงการนี้เป็นการ “บอนไซ” รฟท. อย่างแรง เพราะเปลี่ยนสภาพจาก operator ทำกิจการรถไฟดูแลประชาชน ไปเป็น landlord ยกที่ดินให้เอกชนทำกิน และยกกิจการรถไฟไปให้เอกชนทำกันเอง"