คมนาคม-รถไฟรับลูกเร่งควานหาคนรับผิดชอบความเสียหายทางแพ่งกรณีค่าโง่โฮปเวลล์ หลังจ่อทะลัก 25,000 ล้าน ด้านคนรถไฟผวาสัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน เจริญรอยตามค่าโง่โฮปเวลล์ โยน ครม.-บอร์ดอีอีซี รับหน้าเสื่อชี้ขาด เหตุมีเงื่อนไขผูกพันรัฐอื้อ
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณี "ค่าโง่โฮปเวลล์" ที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อปี 2551 ต้องจ่ายชดเชยความเสียหายแก่บริษัท 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ปี 51 รวมมูลกว่า 25,000 ล้านบาทนั้นว่า
ในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เตรียมตั้งคณะทำงานขึ้นตรวจสอบบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายทางแพ่งตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 เพิ่มเติมจากคณะทำงานเจรจาค่าโง่โฮปเวลล์แล้ว
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ช่วงเวลาที่มีการบอกเลิกสัญญานั้นกระทรวงคมนาคม โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้นำเสนอแนวทางการบอกเลิกสัญญาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลนาย ชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 และ 21 มกราคม 2541 โดยอ้างเป็นการบอกเลิกสัญญาตาม ปพพ. มาตรา 388 เพราะบริษัทเอกชนมีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามสัญญา พร้อมทั้งสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเข้าพื้นที่สัมปทาน จนเป็นเหตุให้บริษัทนำเรื่อง ขึ้นร้องต่อสํานักงานอนุญาโตตุลาการ และมีการแต่งตั้งคณะอนุญาโตตุลาการขึ้นวินิจฉัยขึ้นชี้ขาด ก่อนนำมาซึ่งค่าโง่ในที่สุด
แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า ผลจากกรณีค่าโง่ โครงการโฮปเวลล์ ที่ทำให้การรถไฟฯ อาจต้องจ่ายค่าโง่สูงถึง 25,000 ล้านบาทนั้น ส่งผลทำให้การประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่คณะกรรมการเจรจาที่มีผู้ว่ารถไฟฯ เป็นประธาน เริ่มเกิดความไม่แน่นอนขึ้น ด้วยเกรงว่าอาจเกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันตามมา
เพราะในเงื่อนไขที่คณะกรรมการเจรจาการรถไฟฯ ได้เจรจากับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง และพันธมิตร (ซีพี)นั้ น มีเงื่อนไขทางการเงินที่อยู่นอกเหนือทีโออาร์ และผูกพันให้รัฐและการรถไฟฯ เข้าไปแบกรับภาระ ในหลายกรณี โดยเฉพาะการจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการกว่า 117,227 ล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนที่รัฐได้นั้น แทบไม่เป็นรูปธรรม
"หากรัฐเกิดปัญหาไม่สามารถจ่ายงบสนับสนุนโครงการตามสัญญา หรือส่งมอบพื้นที่ไม่ได้ตามสัญญา เชื่อแน่ว่าจะเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมาเป็นพรวน"
ด้วยเหตุนี้ แม้คณะกรรมการเจรจาที่มีนายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟฯ เป็นประธาน จะได้ข้อสรุปผลการเจรจากับกลุ่มบริษัท ซี.พี.โฮลดิ้ง แล้วในประเด็นต่างๆ แต่ก็โยนเรื่องการอนุมัติโครงการและสัญญาไปให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (บอร์ดอีอีซี) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ขณะที่การบริหารโครงการในอนาคต จะมีการตั้งวิสาหกิจพิเศษ (SPV) ขึ้นมากำกับดูแลโครงการดังกล่าวแทนการรถไฟฯ เพราะไม่ต้องการให้การรถไฟฯ เข้าไปผูกมัดโครงการจนอาจนำมาซึ่งค่าโง่ในอนาคตอีก
"คนรถไฟรู้ดีว่า การเจรจากับบริษัทเอกชนผู้ชนะประมูลครั้งนี้ มีประเด็นที่ยังมีปัญหาอยู่หลายเรื่อง จึงไม่ต้องการเข้าไปร่วมรับผิดชอบ"