หลังจากที่มีความชัดเจนในการส่งออก “มะยงชิดและทุเรียนดินภูเขาไฟ” จากพ่อค้าทุเรียนจีนเรียบร้อย สิ่งแรกสุดที่ได้ดำเนินการ คือ การจดทะเบียนตั้งบริษัทฯ เพื่อเป็นผู้ประกอบการส่งออก-นำเข้าผลไม้ให้ถูกต้องตามกฎหมายของไทย และยื่นขออนุมัติจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อเป็นผู้ส่งออกทุเรียนไปนอกราชอาณาจักร, การติดต่อกับชิปปิ้ง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน Paperless ของกรมศุลกากร, การประสานงานเรื่องการขนส่งผลไม้ในที่นี้ คือ ทุเรียนและมะยงชิด ทั้งทางอากาศ, ทางเรือ และทางบก รวมถึงการรออกแบบโลโก้-กล่องบรรจุผลไม้ ตามที่ได้รับแจ้งจากกลุ่มพ่อค้าทุเรียนจีน!
โดยโจทย์ข้อแรกที่พ่อค้าทุเรียนจีนโยนให้ก็คือ การออร์เดอร์มะยงชิดล็อตแรก 500 กิโลกรัม ซึ่งจะต้องจัดทำกล่องบรรจุ (Packaging) อย่างดีและดูสวยงาม เพื่อป้องกันมะยงชิดเสียหายระหว่างขนส่งและเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่สนใจจะซื้อมะยงชิดอีกด้วย (ดูภาพการดีไซด์กล่องบรรจุมะยงชิด ประกอบ)
สำหรับออร์เดอร์มะยงชิดส่งออกไปปักกิ่งล็อตแรก สร้างความตื่นเต้นให้กับเจ้าของสวนและผู้เขียนเป็นอย่างมาก หลับตานึกภาพว่า จากที่เป็นชาวสวนมานาน จะได้กลายเป็นผู้ส่งออกผลไม้ไปจีนก็คราวนี้แหละ แม้การออร์เดอร์มะยงชิดล็อตแรกไม่ได้มากมายเพียง 500 กิโลกรัม โดยราคาขายหน้าสวน 200 บาทต่อกิโลกรัมบวกค่าผลิตกล่องและค่าขนส่งทางเครื่องบิน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 200,000 บาท..เพื่อนพ่อค้าชาวจีนน่าจะสามารถทำกำไรจากมะยงชิดล็อตแรกที่ตลาดปักกิ่งได้พอสมควร
ในฐานะ “ว่าที่ผู้ส่งออกผลไม้รายใหม่” ได้ติดต่อประสานงานกับพ่อค้าทุเรียนจีน ผ่านแอพพลิเคชั่น We-Chat กันโดยตลอด โดยภายในต้นเดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว ถึงเวลาเส้นตายต้องทุบโต๊ะตัดสินใจสั่งนำเข้ามะยงชิดทันที เนื่องจากมะยงชิดในสวน “สรรเสริญ บัวใหญ่” กำลังสุกเหลืองอร่ามพร้อมส่งออก..แต่ความฝันในการส่งออกมะยงชิดล็อตแรกไปจีนก็ดับวูบลง หลังจากพาร์ทเนอร์ใหม่จากแดนมังกรแจ้งว่า ยังไม่พร้อมนำเข้ามะยงชิดในฤดูกาลนี้!
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ว่าที่พ่อค้าส่งออกผลไม้รายใหม่ ถึงกับงงและตั้งข้อสงสัยว่า เอ๊ะยังไงกัน คุยกันเสียดิบดี แต่กลับมายกเลิกออร์เดอร์กันง่ายๆ แต่สิ่งทำได้ก็เพียงแค่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรเป้าใหญ่ของเราคือ การส่งออกทุเรียนดินภูเขาไฟล็อตใหญ่ 200 ตัน หรือจำนวน 200,000 กิโลกรัมต่างหาก..
พ่อค้าทุเรียนจีนก็คงจะรู้เป็นนัย ๆ ว่า หลังจากตัดสินใจไม่นำเข้ามะยงชิดแล้ว อาจทำให้พาร์ทเนอร์ใหม่ใจเสียหรืออาจจะไม่มั่นใจได้ จึงสร้างความมั่นใจใหม่ โดยตกลง “ทำบันทึกข้อตกลง” กับบริษัทฯ ที่ผู้เขียนในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจส่งออกทุเรียนไปจีนจดทะเบียนใหม่เรียบร้อยก่อนหน้า
ในบันทึกระบุชัดว่า “บริษัทฯ ที่จดทะเบียนใหม่ในไทย จะเป็นผู้จัดหาทุเรียนที่มีคุณภาพ และโรงบรรจุทุเรียนได้มาตรฐานตามกฎหมายไทย เพื่อส่งออกยังประเทศจีน ส่วนพ่อค้าทุเรียนได้ส่งบริษัทฯ มาลงนามบันทึกข้อตกลงเช่นกัน โดยตกลงจะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดหาทุเรียนเพื่อส่งออกไปจีน” โดยในฤดูกาลผลิตของปีที่แล้ว จะออร์เดอร์ทุเรียนดินภูเขาไฟจำนวน 200 ตัน หรือ 200,000 กิโลกรัม
พ่อค้าทุเรียนจีนยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “จะโอนเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท” เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนำเข้าทุเรียนดินภูเขาไฟไปขายในตลาดที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ทั้งนี้จะโดยเงินเข้าบัญชีบริษัทฯ ที่เปิดใหม่ที่ผู้เขียนเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ผ่านบัญชีแบงก์ ออฟ ไซน่า หรือบัญชีธนาคารกสิกรไทยภายในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2561 อย่างแน่นอน…
จากบันทึกข้อตกลงทางการค้ากับพ่อค้าทุเรียนจีน ยิ่งสร้างความมั่นใจว่า การส่งออกทุเรียนดินภูเขาไฟในปีที่แล้วช่วงเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา จะต้องเกิดขึ้นและสำเร็จแน่นอน ซึ่งงานนี้ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ออกแรงแนะนำโรงบรรจุทุเรียนที่ได้มาตรฐานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหารตามมาตรฐาน GMP ของกรมวิชาการเกษตร คือ ตลาดกลางสหกรณ์การเกษตรกันทรลักษณ์ ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในเขตอีสานใต้ ที่พร้อมรับบรรจุทุเรียนเพื่อการส่งออกไปจีนตามออร์เดอร์ล็อตใหญ่สุดในครั้งนี้
ในทันทีที่มีความชัดเจนเรื่อง “ทุน 30 ล้าน” ในการประเดิมส่งออกทุเรียนดินภูเขาไฟไปจีน จึงได้เดินหน้าเต็มสูบในการติดต่อกับเจ้าของสวนทุเรียนอย่างน้อย 5-6 สวน ทั้งนี้เพื่อสามารถรวบรวมทุเรียนได้เต็มตู้คอนเทนเนอร์ในการตัดทุเรียนที่ได้เปอร์เซ็นต์เนื้อ-แป้งตามมาตรฐานการส่งออกทุเรียนไปจีนในแต่ละครั้ง โดยชาวสวนทุเรียนดินภูเขาไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนของเครือญาติของผู้เขียน เมื่อรู้ข่าวดีต่างแฮปปี้กันทั่วหน้า
โดยเฉพาะพาร์ทเนอร์ใหม่ของพ่อค้าทุเรียนจีนยิ่งหน้าบานเหมือนกระด้ง เพราะนอกจากจะได้กลายเป็นผู้ส่งออกผลไม้รายใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในพื้นที่ปลูกทุเรียนดินภูเขาไฟด้วยว่า ชาวสวนทุเรียนจะเป็นผู้ส่งออกเองและการส่งออกทุเรียนในครั้งนี้ เป็นการส่งออกไปยังตลาดจีนตามออร์เดอร์จำนวนมากถึง 200 ตันเลยทีเดียว
ผู้เขียนย้ำชัดกับพ่อค้าทุเรียนจีนว่า หากพ้นเส้นตายสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว ถ้ายังไม่โอนเงินทุนมา จะไม่สามารถรวบรวมทุเรียนได้ เพราะในช่วงนั้นมีเถ้าแก่ล้งทุเรียนจากจันทบุรี เริ่มเข้ามาติดต่อชาวสวนในพื้นที่กันแล้ว และชาวสวนทุเรียนบางสวนเริ่มทยอยขายทุเรียนให้เถ้าแก่กันแล้ว เพราะไม่สามารถรอเวลาให้ทอดยาวออกไปได้ เนื่องจากทุเรียนพร้อมตัด ถ้าไม่ขายยิ่งเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ อาจเกิดพายุพัดถล่มทุเรียนหล่นเสียหายได้ (เหมือนล่าสุดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ได้เกิดพายุหมุนฤดูร้อนพัดถล่มทุเรียนพร้อมตัดเสียหายจำนวนมากมากแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่:http://www.natethip.com/news.php?id=268)
พ่อค่าทุเรียนจีนบอกให้รอ..รอ..และรอ..เพราะการโอนเงินจำนวนมากรัฐบาลจีนเข้มงวดมาก..ต้องใช้เวลา จนกระทั่งพ้นเส้นตายสัปดาห์แรกของมิถุนายนปีที่แล้ว “ไม่มีเงินหยวนแม้แต่หยวนเดียวโอนเข้าบัญชีบริษัทฯ ที่เปิดใหม่เพื่อการส่งออกทุเรียนไปจีน”..
ภาพอันสวยหรูของผู้ส่งออกทุเรียนไปจีนรายใหม่ดับวูบ ไม่มีคำตอบจากพ่อค้าทุเรียนจีน จนกระทั่งวันนี้ว่า ทำไมไม่นำเข้าทุเรียนดินภูเขาไฟ..ไม่มีคำอธิบาย ทุกอย่างเงียบหาย..ซึ่งผู้เขียนที่ตั้งใจเขียนร่ายยาวรายงานพิเศษชิ้นนี้มาถึง 5 ตอน เพียงแค่ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำธุรกิจกับพ่อค้าทุเรียนจีน ให้ระวังลูกเล่นให้ดีเท่านั้น..
..ไม่ได้ติดใจถึงขั้นโกรธเคืองพ่อค้าทุเรียนจีน..แต่เป็นคนจดจำนานก็เท่านั้น!
อ่านรายงานพิเศษเรื่องนี้ (ตอนที่ 1-4 ในคอลัมน์บ้านไร่ชายทุ่ง: ตามรายละเอียด http://natethip.com/index.php
http://www.natethip.com/ponews.php?id=7&m=%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87)
โดย..โปรทุเรียน