จับตาการประชมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯเป็นประธานวันนี้ (13 พฤษภาคม) เมื่อคณะกรรมการเจรจาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีนายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเจรจาฯ เตรียมนำเสนอผลสรุปการเจรจาให้ที่ประชุม กพอ. อนุมัติร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน กับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (ซีพี)
โดยก่อนหน้านี้ นายวรวุฒิ เปิดเผยว่า กลุ่มซีพีได้ส่งหนังสือตอบรับร่างสัญญาร่วมลงทุนกลับมาให้การรถไฟฯ เมื่อวัน ที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยไม่มีการแก้ไขเนื้อหาหรือติดใจเนื้อหาใดๆ อีก ซึ่ง รฟท. จะเร่งตรวจสอบรายละเอียดร่างสัญญาดังกล่าวให้แล้วเสร็จเพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่จะประชุมกันในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้
รายละเอียดที่จะนำเสนอนั้น ประกอบด้วย 1. ผลการประมูลที่กลุ่มซีพีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก และเสนอขอรับเงินอุดหนุน 117,227 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินไว้ 119,425 ล้านบาท 2. ร่างสัญญาร่างลงทุนระหว่าง รฟท.กับกลุ่มซีพี และ 3. รายงานการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และกลุ่มซีพี ซึ่งครอบคลุมถึงประเด็นข้อเสนอของกลุ่มซีพีที่อยู่นอกเหนือเอกสารการเข้าร่วมโครงการ (อาร์เอฟพี) เช่น ข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
ทั้งนี้ หาก กพอ. ให้ความเห็นขอบก็คาดว่าจะนำแสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบได้ภายในวันที่ 15 มิถุนายนศกนี้ ส่วนวันลงนามสัญญาร่วมลงทุนจะเป็นไปตามความเห็นร่วมของคู่สัญญา
ในส่วนของการกำกับดูแลโครงการในระยะยาวนั้น นายวรวุฒิ กล่าวว่า ในส่วนของการรถไฟฯ นั้น ไม่ได้เตรียมพร้อมในการรองรับโครงการดังกล่าว จึงเป็นเรื่องของที่ประชุม กพอ. จะหารือในหลักการจัดตั้งองค์กรบริหารโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่บริหารสัญญา 50 ปี โดยจะกำกับดูแลการก่อสร้าง การเดินรถไฟความเร็วสูงและการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เป็นไปตามสัญญา โดยหลักการจะมีการออกกฎหมายรองรับการจัดตั้งองค์กรดังกล่าวเพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีอำนาจหน้าที่เป็นคู่สัญญากับเอกชนผู้ร่วมลงทุน
“รฟท. ไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมทั้งเป็นโครงการที่รัฐบาลผลักดันเพื่อขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงต้องตั้งองค์กรเฉพาะขึ้นมาบริหารโครงการโดยเฉพาะไม่ได้เป็นองค์กรที่ขึ้นตรงต่อ รฟท.”