สงครามการค้าหรือเทรดวอร์ สหรัฐกับจีน กลับมารุนแรงอีกครั้ง เมื่อเกมต่อรองไม่ได้เป็นแค่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่มีปัจจัยเช่นทางการเมือง โดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการอัดจีน ให้ฐานเสียงคนผิวขาวชนชั้นกลางรวมทั้งในชนบทได้เห็นว่าทำตามที่หาเสียง พร้อมปูทางไปสู่การเลือกตั้งสมัยที่สองในปีหน้า รวมถึงปัจจัยทางความมั่นคง เพื่อเป็นการเตะสกัดจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองดำเนินนโยบาย จะขึ้นเป็นผู้นำโลกแทนสหรัฐ ปัจจัยแข่งกันขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เช่น 5จี ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ เทคโนโลยีอวกาศบนภูมิรัฐศาสตร์หรือจีโอโพลิติกของโลกที่เปลี่ยนไป ประเทศไทยปรับตามทันแค่ไหน สะท้อนได้จากเศรษฐกิจ ซึ่งไทยมีขนาดเศรษฐกิจเล็กต้องพึ่งรายได้จากการส่งออกถึงกว่า 60% มาเป็นเม็ดเงินช่วยขับเคลื่อนการเติบโต หากไทยผลิตเอง บริโภคเอง พืชผลและสินค้าจะล้นตลาด เพราะไทยยังไม่มีกำลังซื้อที่มากพอทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้เองดังนั้น เมื่อไทยปรับไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เศรษฐกิจก็จะร่วงดิ่งลงมาก รวมทั้งกรณีสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่ไทยเดินนโยบายเป็นห่วงโซ่การผลิตหรือซัพพลายเชนของจีน เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และอีกหลายประเทศในเอเชียเลือกในขณะนั้น เพราะจีนอาศัยความได้เปรียบต้นทุนค่าแรงงานที่ต่ำ วางตัวเป็น ”โรงงานของโลก” ผลิตสินค้าส่งไปขายทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐ โดยมี ”เสี่ยวเอ้อส่งออก” ซัพพลายเชนผลิตจากหลายประเทศ รวมทั้งไทยเป็นแรงหนุน จากปัญหาสงครามการค้าที่เปลี่ยนเป็น ไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ยังพันลึกไปถึง ”ปัญหาการเมือง-ความมั่นคง-การแข่งขันเทคโนโลยี” เช่นนี้ เสี่ยวเอ้อส่งออกอย่างไทยจะต้องปรับตัวไปทิศทางไหนดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ฉายภาพสงครามการค้าสหรัฐกับจีนที่กลับมารุนแรงอีกครั้งว่า การเจรจาสงครามการค้าสหรัฐกับจีนครั้งนี้มีความผันผวนมาก ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐออกมาส่งสัญญาณต่อเนื่องว่า การเจรจาการค้ามีแนวโน้มดี ทางประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์ ก็ออกมาบอกแนวโน้มดี จากนั้นทางจีนก็สื่อไปทางเดียวกัน ทำให้เศรษฐกิจโลกตอบรับไปทางดี ตลาดหุ้นเด้งไปทางบวก แต่ผ่านไปแค่เพียงกว่าสัปดาห์เดียว เหตุการณ์พลิกตรงกันข้ามเกาหลีเหนือซึ่งมีความสัมพันธ์ดีกับจีนหลังหารือกับผู้นำสหรัฐ ได้ออกมาทดลองขีปนาวุธ จากนั้นประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์ ก็ทวีตเตอร์ขู่ว่า ต้องขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในส่วนของกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐจาก 10% เป็น 25% เพราะการเจรจาไม่คืบหน้า เพราะจีนเบี้ยวจะขอเปลี่ยนการเจรจาใหม่ ถัดมาสภาล่างของสหรัฐก็ผ่านกฎหมายส่งเสริมไต้หวันหอกข้างแคร่ของจีน โดยจะสนับสนุนด้านความมั่นคงและดันไต้หวันให้มีบทบาทในองค์กรระดับนานาชาติมากขึ้น พร้อมขู่ว่าหากการเจรจาการค้ายังไม่คืบหน้าอีกจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่เหลืออีกปีละกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นไปเป็น 25% ขยับจากนั้นเกาหลีเหนือ ได้ทดลองขีปนาวุธอีกรอบเมื่อเป็นเช่นนี้ ทางประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์ จึงประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25% ทันที ท่ามกลางทีมจีนที่บินไปเจรจากับทีมสหรัฐ ยังเจรจากันอยู่โดยไม่รอผลการเจรจา ทำให้เห็นว่าสงครามการค้าครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาแค่เศรษฐกิจ จากนั้นกองทัพเรือของสหรัฐ ที่รับผิดชอบภาคพื้นแปซิฟิก ได้ทดลองขีปนาวุธพิสัยไกล ขยับจากนั้นสหรัฐได้ยึดเรือขนถ่านหินของเกาหลีเหนือและจัดการอิหร่านที่มีความสัมพันธ์ดีกับจีนอย่างเข้มข้น ดังนั้นการปรับตัวรับสงครามการค้าสหรัฐกับจีนครั้งนี้ จึงคาดการณ์ยาก จะพิจารณาแค่มิติทางเศรษฐกิจ โดยไม่ดูการเมือง ความมั่นคง หรืออื่นๆ ไม่ได้จะว่าไปลีลาเกมพันลึกของสหรัฐกับจีน เป้าหมายอยู่ที่การชิงขึ้นเป็นผู้นำของโลกให้ได้ทุกด้าน ทั้งความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ ลัทธิความเชื่อ ซึ่งประเทศไทยที่เคยดำเนินนโยบายจะเป็นห่วงโซการผลิตให้จีนเหมือนกับหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียกำหนด เพราะหวังจะเกาะประเทศใหญ่อย่างจีนโตตามไปด้วย เมื่อภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน ประเทศเล็กอย่างไทยต้องเร่งปรับให้ทันเกม เช่น ควรไปใช้กลยุทธ์หลายหน้าที่หลายประเทศเล็กเลือกทำเพื่อสนับสนุนประเทศใหญ่ทุกฝ่าย ซึ่งในการประชุมทูตพาณิชย์ของไทยจากทั่วโลกในปลายเดือน พ.ค. นี้...หวังว่าจะมีการสั่งปรับนโยบายเสี่ยวเอ้อส่งออก ให้มีกระบวนท่าหลากหลายพลิกชนะความผันผวนไม่ให้หญ้าแพรกต้องแหลกจากช้างสารชนกัน!โดย - คนฝั่งธนฯ