ผู้สื่อข่าวรายงานการสัมมนา “7 เสือที่อยากเห็น กสทช. ชุดใหม่-เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทย” ซึ่ง นสพ.มติชน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) , นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และนายสืบศักดิ์ สืบภักดี เลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สทค.)
โดยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคเศรษฐกิจ ในฐานะผู้ใช้ไม่ได้สนใจว่าจะใช้คลื่นไหน มาตราไหน แต่โดยส่วนตัวไม่เข้าใจว่า การที่ กสทช. ประมูลคลื่นความถี่ต่าง ๆ ในราคาแพง ได้เงินมหาศาลไปเพื่ออะไร อย่างประมูล 5จี ได้เงินเข้ารัฐเป็นแสนล้าน เมื่อไหร่ภาคธุรกิจและประชาสชนจะได้ใช้ ถ้าประมูล 5จี ราคาถูก ประชาชนได้ใช้ไม่ดีกว่าหรือ การที่รัฐบาลเอาเงินไปเก็บไว้เฉยๆ บอกว่าจะช่วยเรื่องเทคโนโลยีแต่ไม่รู้จะช่วยเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการเฝ้ามองอยู่
“ที่เราอยากเห็นคือ การพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ต่างชาติยึดครองไปหมด หากเราปล่อยให้ต่างชาติยึดครองไปหมด อีกหน่อยก็แข่งขันไม่ได้ ดังนั้น 7 เสือ กสทช. ที่เราอยากเห็นในอนาคต ถ้าได้แค่แมวมา 7 ตัวมาไม่มีประโยชน์ เราผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง จึงอยากได้ 7 เสือที่แท้จริง และเราก็ไม่อยากเห็นแค่รัฐต้องการประมูลคลื่นในราคาสูงๆไป โดยที่ภาคอุตสาหกรรมและปราชนไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร”
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า กสทช.ชุดปัจจุบันนั้น ถือเป็นความผิดพลาดของ คสช. ที่ใช้ ม.44 ต่ออายุให้ กสทช. ชุดนี้อยู่มายาวนานเกินไป กว่าจะถอดสลักได้ เมื่อไม่ได้มาตามหลักเกณฑ์การใช้อำนาจจึงมีปัญหา ซึ่งหากจะประเมินให้คะแนน กสทช. ชุดปัจจุบันว่า ผ่านเกณฑ์หรือไม่นั้นอยากให้ไปสำรวจดูจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่ กสทช. สร้างเอาไว้นั้นได้รับความน่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะพื้นฐานของ กสทช. นั้น ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่กำกับดูแลการแข่งขันให้เป็นธรรม เสรี กำหนดกติกาที่ทำได้จริง แต่ที่ผ่านมาทำได้จริงหรือไม่ สำเร็จหรือไม่กูดูผลสำเร็จของ 3 จี 4 จี หรือ 5 จี ปัจจุบันเหลืออยู่ 2 โอเปอร์เตอร์ 3 จีก็แค่ 3 โอปอเรเตอร์ ยิ่งทำก็ยิ่งเหลือน้อยเต็มทน
หรืออย่างการออกหลักเกณฑ์นัมเบอร์พอร์ตทิบิลิตี้ หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ซึ่งในอนาคตจะมีความสำคัญ เพราะเบอร์มือถือผูกติดกับบัตรประชาชนและการเงินพร้อมเพย์ ผู้บริโภคอาจย้ายค่ายได้แต่ต้องเบอร์เดิม ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาโอนเงินออกไปให้ใครก็ไม่รู้
“ปัญหาที่เกิดขึ้นของนัมเบอร์พอร์ตฯก็คือ หลักเกณฑ์ที่ออกมาได้รับการปฏิบัติน้อยมากเพราะค่ายมือถือไม่ยอมให้ย้ายค่าย อ้างโน้นนี่สารพัด จนย้ายไม่ได้ สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้น”
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า ประเทศไทยเริ่มเป็นประเทศที่แข่งขันกับใครไม่ได้แล้ว จากปัญหาในเรื่องของทุนมนุษย์ที่เราอาจไม่รู้ตัว เพราะในฐานะที่สวมหมวก 2 ใบ คือ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ซึ่งรับเด็กเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยด้วยระบบการคัดเลือกกลาง หรือทีแคส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แต่สิ่งที่ค้นพบและน่าตกใจคือ เด็กที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อยนประเทศในอนาคตคือวิศวรกรนั้นจากการรับเด็กผ่านระบบทีแคส กลับพบว่า ลดลงทุกปี โดยในปี 2561 มีคนเข้าระบบ 4 แสนคน ทั้งที่มหาวิทยาลัยไทยกว่า 200 แห่ง รับเด็กได้กว่า 4 ล้านคน ปี 62 เหลือ 3 แสน ปี 63 เหลือไม่ถึง 2.4 แสนคน แสดงว่าทุนมนุษย์ไม่มีแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวที่จะสู้กับประเทศอื่นได้ คือคุณภาพของคน ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเข้ามาช่วย โดยมีกลไกสำคัญคือ กสทช.เข้ามาเป็นผู้ออกแบบ
“7 เสือ ที่จริงต้องเรียกว่า 7 เทพที่จะเข้ามา ถ้ายังสรรหาคนที่มาเป็นผู้ควบคุมหรือเรคกูเลเตอร์ ประเทศไทยจบไม่มีอนาคต แต่ต้องหาคนที่มาเป็นดีไซเนอร์ ผู้ออกแบบว่า ในอนาคตเทคโนโลยีอะไรที่จะมาเติมให้คนไทยมีคุณภาพมากขึ้น จะใช้กฎหมายใดในการออกแบบประเทศให้มีคุณภาพ และจะทำอย่างไร ให้สื่อสารมวลชนผลิตเนื้อหาที่คนอยากดู และขอให้เลิกพูดกันได้แล้วเรื่อง KPI ที่บอกว่า ประเทศไทยมี 5 จีเข้าถึงทุกหมู่บ้านมีอินเตอร์เน็ตเข้าได้ เพราะไม่ใช่ความสำเร็จ แต่การทำอย่างไรที่เข้าถึงได้แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุนมนุษย์ให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในการยกระดับทุนมนุษย์ให้มีคุณภาพ ก่อให้เกิดมิติใหม่ทางด้านนวัตกรรม”
นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การมี กสทช.ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย เพราะหาไม่เช่นนั้น ประเทศไทยคงหนีวังวนระบบสัมปทานไปไม่พ้น เมื่อมี กสทช. เข้ามาเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานมาเป็นใบอนุญาตก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย
อย่างไรก็ตาม อยากเห็น กสทช. เป็นองค์กรที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง สามารถกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมและให้ความสำคัญกับกลไกตลาดอย่างแท้จริง ต้องสามารถเข้ามาไปแต่ละตลาดว่ามีการแข่งขันที่สมบูรณ์หรือไม่ และต้องไม่เกิดความโน้มเอียงในการกำกับดูแลเหมือนเช่นที่กำลังเกิดขึ้นนอกภาคโทรคมนาคม ที่ปล่อยให้ทุนใหญ่ผูกขาดตลาด จนรายเล็กเกิดไม่ได้ เพราะหากปล่อยให้ทุนเสรีทำหน้าที่อย่างเดียว โดยไม่เข้าไปกำกับดูแลหรือแทรกแซง ทุนขนาดกลางและเล็กจะแข่งขันไม่ได้ สุดกท้ายจะเกิดการผูกขาดมีอำนาจเหนือตลาดได้
ขอบคุณภาพ: มติชน/ประชาชาติธุรกิจ