โลกและประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
มนุษยชาติและคนไทย...ยังจะใช้ชีวิตได้ตามปกติ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วของ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ได้อีกหรือไม่?
คำถามนี้...น่าสนใจ เพราะในช่วงเกือบ 10 ปีมานี้ ยุคเทคโนโลยี 4G ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงและเป็นไปอย่างมากมายต่อผู้คนบนโลกใบนี้
สมาร์ทโฟน และบางแอปพลิเคชั่นในกลุ่ม “สื่อสังคมออนไลน์” ล้วนผูกติดอยู่กับวิถีชีวิตของผู้คนยุคนี้...ไปเสียแล้ว
หลายคนที่เสพติด “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ในวัยใกล้หรือล่วงเลยวันเกษียณอายุการทำงาน ล้วนเป็นเรื่องยาก หากอยากจะเลิกเสพติดมัน
ตื่นเช้ามา...ต้องจับสมาร์ทโฟน และเช็คข้อความจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่พวกเขาสังกัดอยู่..
ตลอดทั้งวัน...ชีวิตของพวกเขาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มากกว่าครอบครัวและสัตว์เลี้ยง
และอีกไม่นาน เมื่อโลกย่างเข้าสู่ยุค 5G หรือมาก G กว่านั้น สิ่งที่พวกเราเคยเห็นกันแต่ในโลกของภาพยนตร์ไซไฟ ก็จะมีให้เห็นกันจริงๆ แล้วเราจะรับมือกับแรงถาโถมแห่ง “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ได้อย่างไร?
เป็นคำถามที่ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พยายามจะหาคำตอบ ด้วยการจับมือกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประชุมระดมสมองจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการจัดทำภาพฉายอนาคต (Scenario Foresight) ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์และความพร้อมในประเทศไทย
3 หัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นโจทย์ตั้งต้น ให้...ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ให้ความสนใจต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ได้มองภาพฉายอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า...
นั่นคือ...Platform Economy (พลังขับเคลื่อนธุรกิจยุคดิจิทัล), Silver Economy in Digital Era (เศรษฐกิจอายุยืน) และ Stay-at-Home economy (เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการทำงานจากที่บ้าน)..ทิศทางจะเป็นอย่างไร?
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการ สดช. ระบุว่า หน่วยงานแห่งนี้ มีภารกิจจัดทำนโยบายด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยนำ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” มาประยุกต์ใช้ในการบริหาร และการให้บริการของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนการสร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยีของประชาชน เพื่อให้ภารกิจของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์
ดังนั้น การจัดทำภาพฉายอนาคต โดยเน้นด้านการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งเตรียมการทั้งทางด้านนโยบายและด้านบุคลากรในภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้พร้อมกับทุกๆ สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตอันใกล้
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ สดช.ได้เชิญให้ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ให้ความสนใจต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ได้มองภาพฉายอนาคต ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อ...ระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แล้ว ยังชวนให้ “บุคคลเป้าหมาย” ได้มาร่วมกันวิพากษ์ถึงมุมมองและข้อเสนอจากการทำภาพฉายอนาคตของประเทศไทย...
วิทยากร 2 คน ที่ สดช. เชิญให้มาร่วมกันวิพากษ์ฯ ประกอบด้วย...นายฉัตรชัย ศิริไล กก.ผจก.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ ดร.รุ่งเรือง ทิพยศิริ CEO New Asset Advisory Co.,Ltd.
นายฉัตรชัย ศิริไล เชื่อว่า...ผลกระทบจากความเปลี่ยนของ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง แต่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคคล ทั้งในระดับรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนคนทั่วไป จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่นี้ให้ได้...
ภาครัฐจะต้องเร่งสร้างอินฟาสตรัคเจอร์ (ระบบสาธารณูปโภค) การสื่อสารด้านดิจิทัล เพื่อให้เกิดตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีและทั่วถึงประชาชนทุกภาคส่วนและทุกพื้นที่ของประเทศ
หน่วยงานกำกับดูแล (เรคกูเรเตอร์) อย่าง...กสทช. จะต้องสร้างและวางกฎเกณฑ์ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการมือถ่ายความเป็นเจ้าของอินฟาสตรัคเจอร์การสื่อสาร เพราะนั่นคือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตามมา หากเจ้าของเทคโนโลยีที่คุมทุกสรรพสิ่งในประเทศไทย...เป็นชาวต่างชาติ
มากกว่านั้น ทั้งภาครัฐและเรคกูเรเตอร์ จะทำอย่างไร? เพื่อมิให้ “ผู้บริโภค” ที่เสพติดเทคโนโลยีฯ ต้องแบกรับภาระที่เพิ่มขึ้น หากวันหนึ่งวันใด...อะไรที่เคยใช้กันฟรีๆ แต่กลับต้องมาจ่ายเงินเป็นค่าบริการในการใช้แอปพลิเคชั่นเหล่านั้น
นายฉัตรชัย ยังพูดถึงประเด็น “เวิร์ก ฟอร์ม โฮม” ว่า...คงจะอยู่กับสังคมไทยได้อีก 3-5 ปี ด้วยเหตุที่ ภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง และโลกมี “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาและต่อเนื่อง โลกจะเปลี่ยนไปคุ้นชินกับวลีใหม่..”โซเชียล ดิสแตนซิ่ง อีโคโนมี”
“ต่อไปไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจหรือปฏิสัมพันธ์ใดๆ ในสังคม จะเป็นไปในลักษณะ “โซเชียล ดิสแตนซิ่ง อีโคโนมี” เพราะผู้คนทั่วโลก สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องเจอหน้ากัน ซึ่งเป็นภาพฉายอนาคตที่ใหญ่มาก” นายฉัตรชัย ตั้งข้อสังเกต
ขณะที่ ดร.รุ่งเรือง ทิพยศิริ CEO New Asset Advisory Co.,Ltd. มองว่า ต้นทุนสำคัญของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น บางส่วนได้รวมอยู่ในราคาขายของสมาร์ทโฟนแล้ว บางส่วนมีการแทรกโฆษณาอยู่ในแอปพลิเคชั่นที่เปิดให้บริการฟรี สร้างรายได้ให้กับเจ้าของเทคโนโลยี ขณะที่บางแห่งมีการดึงเอาเจ้าของระบบ “เพย์เม้นท์ เกตเวย์” หรือช่องทางการชำระเงินมาไว้ในแอปพลิเคชั่น เพื่อให้บริการทางการเงินแก่ผู้ใช้บริการ มาเป็นสปอร์นเซอร์หลักของตัวเอง
ถึงตรงนี้ คงต้องย้ำอย่างหนักแน่นว่า... “ดิจิทัล เทคโนโลยี” จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบ ทุกภาคส่วนจะต้องขยับและปรับให้ทัน
คนไทยก็เช่นกัน...วันนี้ ความเป็น “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” จะถูกแทนที่ ด้วยวลีใหม่ “ปลาว่ายน้ำไว ย่อมหยิบฉวยโอกาสได้มากกว่า”
นี่คือ..สัจจธรรมใหม่ของโลกใบนี้!