วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบแรกของไทย ยังเคลียร์ปัญหาไม่จบ!
ระหว่างที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังอิ่มเอมและสำลักคำชมจากทั่วโลก ว่า...ทางการไทย “ป้องกันและรับมือไวรัสโควิดฯ ได้ดี”
ในขณะที่หลายประเทศชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะในยุโรปหรือเอเชีย ตั้งแต่...อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เรื่อยจนถึง...จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แม้กระทั่งสิงคโปร์ และมาเลเซีย ต่างประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ รอบ 2 เหมือนกัน
แต่สำหรับประเทศไทย...เราเอาอยู่?
กระทั่ง เกิดเหตุสาวไทยหลบเข้า-ออกตามแนวตะเข็บพรมแดนธรรมชาติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงผู้นำเหล่าทัพ ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ที่เกิดปัญหา...เคยประกาศลั่น ผ่านกฎหมายพิเศษที่มี...
สั่งทหารและตำรวจในพื้นที่คุมเข้ม!
แต่คุมกันอีท่าไหน? ถึงปล่อยให้มีขบวนการขนคนเข้าออกตามแนวพรมแดนธรรมชาติกับประเทศเพื่อนบ้าน จนนำไปสู่โอกาสเสี่ยงที่ประเทศไทย อาจต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่และใหญ่กว่าเดิม
นั่นคือ...การกลับมาระบาดรอบที่ 2 ของไวรัสโควิดฯ
จากเหตุที่...คนในหน่วยงานความมั่นคง ปล่อยให้มีการขนทั้งคนและนำเข้าโควิดฯ สู่ประเทศไทย!!!
นี่ขนาดรัฐบาลยังไม่กล้าประกาศให้ทั่วโลกได้ยินกันชัดๆ ว่า...ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การระบาดของไวรัสโควิดฯรอบใหม่ ทว่า...ทั้งคนไทยและคนต่างชาติในประเทศไทย กลับเกิดอาการ “เหวอ” หวาดหวั่นและวิตกกับชะตากรรมที่พวกเขาไม่ได้เลือกกันแล้ว
ความหวังที่รัฐบาลไทยจะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในปีหน้า (2564) ราว 8 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 40 ล้านคน (เท่ากับตัวเลขนักเที่ยวต่างชาติในปี 2562) ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า (2567) เช่นที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เดินสายไปกล่าวในงาน THAILAND 2021 : New Game, New Normal จัดโดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ เครือมติชน ณ โรงแรม ดิ แอทธานี โฮเทล เพลินจิต เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ธ.ค.2563
คงเป็นเรื่องที่ห่างไกลความเป็นจริง..
ความยากที่ นายอาคม เกริ่นในตอนต้น ก่อนจะกล่าวปาฐกถาในงานดังกล่าว ที่ว่า...
“ในเชิงนโยบายนั้น การจะทำให้ทุกคนในสังคมไทย มีความหวังภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถือเป็นเรื่องยาก แต่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ โครงการ”
จากพฤติการณ์ “ปล่อยปละละเลย” ของหน่วยงานความมั่นคง จนเป็นเหตุให้มีการนำเข้าโควิดฯ จากประเทศเมียนมา จนถึงความเห็นแก่ตัว...เอาแต่ได้ ของสาวคนนั้น
คงทำให้ความหวังที่จะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยในปีหน้า คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว
แม้รัฐบาลไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะทำสัญญาจองซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิดฯ จาก กลุ่มแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) บริษัทผลิตวัคซีนสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 และคาดหวังจะนำวัคซีนตัวนี้ มาแจกจ่ายให้กับหน่วยงานและองค์กรด้านสาธารณสุข
เพื่อนำส่งต่อให้กับคนไทย...ในราวกลางปีหน้า
ทว่าข่าว “สาวโควิดฯ” ที่ทำให้ประเทศไทย สิ้นสภาพการปลอดโรคโควิดฯ ในประเทศ....ได้ทำลายความเชื่อมั่นของประเทศไทย ในสายตาชาวโลกไปบ้างแล้ว
กว่าจะได้วัคซีนป้องกันโรคโควิดฯ การแพร่ระบาดจะขยายวงกว้างไปไกลแค่ไหน? คำตอบยังไม่มี..
ท้ายที่สุด แม้ยามนี้...กระบอกเสียงรัฐบาล จะพูดชัด! ยังไม่ถึงขั้น “ล็อกดาวน์” ประเทศไทย...แต่หากการแพร่ระบาดดันขยายตัวในวงกว้าง...
สิ่งนี้...ก็คงยากจะหลีกเลี่ยง!!!
หากเหตุการณ์ลามไกลจนถึงขั้น “ล็อกดาวน์” รอบแรกที่ยังแก้ไขไม่ได้ จะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกหลายเท่า อย่างไม่ต้องสงสัย?
ทางที่ดี! ระหว่าง...ที่รัฐบาลยังคงต้องรอวัคซีนตัวนี้ หรือแม้แต่ข่าวดีเล็กๆ ที่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขของไทย กำลังแอบวิจัยพัฒนา และคิดค้น...วัคซีนต้านไวรัสโควิดฯ อยู่นั้น
รัฐบาลและกองทัพ ควรจะไล่ย้อนรอยเส้นทางการออกนอกประเทศ และกลับเข้าประเทศ ตามแนวพรมแดนธรรมชาติ กันสักหน่อยดีไหม?
นายทหาร นายตำรวจ คนใด? ที่รู้เห็นเป็นใจ...ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ควรไล่ออก! และเอาผิดให้ถึงที่สุด
สาวโควิดฯ และคนร่วมกระบวนการลักลอบนำเข้าโควิดฯ ก็ต้องดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด! และทำโดยเร็วเร่งด่วน! เช่นกัน
ควบคู่ไปกับการลงลึกตรวจสอบเส้นทางเดินที่สาวโควิดฯ รายนี้ได้ใช้เดินทางตลอดที่อยู่ในประเทศไทย รวมถึงตาวจสอบไปยังกลุ่มบุคคลที่อยู่ในข่ายว่าอาจได้รับการแพร่เชื้อไวรัสฯ อย่าง...ลงลึกและเร่งด่วน
ส่วนการเรียกคืนความเชื่อมั่นของคนไทย...อาจไม่ต้องทำให้เอิกเกริก จนเป็นเหตุให้ต่างชาติ นำเอาไปขยายผล ด้วยเหตุที่ทุกวันนี้...คนไทยส่วนใหญ่ ต่างมีสำนึกรับผิดชอบในการดูแลตัวเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคมได้ดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว...
ที่เหลือ ก็จัดการกับความไม่ถูกต้องอย่างจริงจัง..เท่านั้นพอ!