เรื่องใหญ่ของวงการดิจิทัลเมืองไทย ที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร กับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ที่อยู่ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
หลังที่มีการเสนอร่างกฎหมายเข้ามาในนาม รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 2561 ผ่านการผลักดันอย่างหนักของ “ภาคเอกชน” ที่ต้องการให้มีการจัดตั้ง “สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่จะมีบทบาทเช่นเดียวกับ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) หรือสมาคมธนาคารไทย
โดยให้เหตุผลกว้างๆว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายด้านดิจิทัลสอดรับกับบทบาทของกระทรวงดีอี
ก่อนที่ร่างกฎหมายจะผ่านที่ประชุม ครม. ก็เคยมีข้อห่วงใยจาก “แวดวงโทรคมนาคม” เกี่ยวกับการจัดตั้ง “สภาดิจิทัลแห่งชาติ” นี้ว่า อาจเปิดช่องให้ “ทุนใหญ่” เข้ามาครอบงำการขับเคลื่อนแนวนโยบายของรัฐ ตลอดจนกำหนดกลไกรายละเอียดต่างๆ ด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ “ต้นขั้ว” ของร่างกฎหมายนั้นถูกยกร่างโดย “สมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย”หรือ (TFIT) ซึ่งปัจจุบันมี “นายศุภชัย เจียรวนนท์”เป็นประธานสมาคมสมาพันธ์ฯ ซึ่งเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า “สมาคมหลัก” ที่แท้จริงของวงการโทรคมนาคม คือ “สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย” (TCT) แต่เมื่อนายศุภชัยหมดวาระจากสมาคมดังกล่าว กลับแยกตัวออกมาจัดตั้งสมาพันธ์ TFIT ที่มีบทบาทในระนาบใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ ประธานสมาพันธ์ฯ ได้ลงนามปฏิญญาการจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ ตามร่างกฎหมายฉบับนี้ร่วมกับ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 61 โดยรัฐมนตรีดีอีได้เดินทางมาลงนามที่สำนักงานสมาพันธ์ฯ ที่อาคาร AIA ถนนรัชดาภิเษก ก่อนเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อ ครม.ให้ความเห็นชอบและส่ง สนช.ได้ทันกำหนดเส้นตายสิ้นปี 61
ในชั้นของ สนช.หลังรับหลักการในวาระที่ 1 แล้ว ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย จำนวน 17 คน โดยมี นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ เป็นประธาน และมีผู้แทนรัฐบาลจากกระทรวงดิจิทัลฯคือ นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ นายพัชโรดม ลิมปิษเฐียร เป็นผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากสมาพันธ์ฯ ในสัดส่วนของรัฐบาลด้วยคือ นายลักษมณ์ เตชะวันชัย รองประธานสมาพันธ์ TFIT, นายวีระ วีระกุล ผู้บริหารจาก บริษัท พันธวณิช จำกัด และบริษัท ฟรีวิลล์ โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเครือซีพี-ทรูที่โยงใยใกล้ชิดนายศุภชัย โดยตรง ทั้งยังตั้งที่ปรึกษาเข้านั่งในคณะกรรมาธิการอีก 2 คน คือ ม.ร.ว.นงคราญ ชมพูนุท รองประธานสมาพันธ์ TFIT และ น.ส.อรดา วงศ์อำไพวิทย์ ผู้บริหารจากกลุ่มทรู และผู้ช่วยของ นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกลุ่มทรูที่ในวงการทราบดีว่าเป็น “มือขวา” ของนายศุภชัย อีกด้วย
แล้วข้อกังวลที่ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะเอื้อต่อการตครอบงำวงการโทรคมนาคม-ดิจิทัล ก็ปรากฎความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งการแยกหมวดหมู่กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อส่งตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาดิจิทัลแห่งชาติที่แยกออกเป็น 6 – 7 กลุ่มย่อย โดยใช้วิธีนำสมาชิกทั้ง 22 สมาคมของ TFIT มาจัดประเภทใหม่ให้ลงตัว แบ่งเป็น 1.อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart device )2.ฮาร์ดแวร์ ชิ้นส่วนดิจิทัล 3.ซอฟต์แวร์ 4.บริการดิจิทัล 5.โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 6.ดิจิทัลคอนเทนต์ และ 7.อื่นๆตามที่กำหนดในข้อบังคับ ซึ่งเป็นการจำแนกกลุ่มไม่มีมาตรฐานสากลรองรับแค่อย่างใด
สำคัญกว่านั้น ใน “บทเฉพาะกาล” 4 มาตราของร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ TFIT ยกร่างขึ้นมาแล้วยัดใส่มือ “รมว.ดีอี”นั้นยังมี “นัยซ่อนเร้น” เพื่ออัพเกรด TFIT ขึ้นเป็นสภาดิจิทัลแห่งชาติไว้อย่างโจ่งแจ้ง
กล่าวคือ ในมาตรา 42 ระบุถึงการโอนทรัพย์สิน TFIT ที่มีอยู่เพียง 1.7 ล้านบาทไปให้สภาฯ แล้วยุบ TFIT, มาตรา 43 โอนพนักงานของ TFIT ที่มีอยู่จำนวน 4 คนไปเป็นพนักงานของสภาฯ, มาตรา 44 ให้กรรมการ TFIT เป็นกรรมการสภาฯ โดยอัตโนมัติ เป็นเวลา 1 ปี และยังสามารถขยายได้อีก 2 รอบๆละ 60 วัน และมาตรา 45 ให้สมาชิก TFIT ไปเป็นสมาชิกสภาฯ โดยอัตโนมัติ
ผลลัพธ์ที่ตามมาของ “บทเฉพาะกาล” คือ “นายศุภชัย เจียรวรนนท์” ประธาน TFIT คนปัจจุบัน จะได้เป็นประธานสภาดิจิทัลแห่งชาติ คนแรกในประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย เป็นเวลาอแย่างน้อย 1 ปี 4 เดือน
ทำให้อดตั้งข้อกังขาไม่ได้ว่า มีด้วยหรือที่คณะผู้ยกร่างในฐานะประธาน TFIT จับร่างกฎหมายยัดใส่มือ รมว.ดีอี และเมื่อทำคลอดร่างกฎหมายออกมาเสร็จสรรพ ก็เข้ามานั่งกุมบังเหียนองค์กรที่ตนเองมีส่วนเป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” โดยตรงอย่างชัดแจ้ง ซึ่งย่อมก่อให้เกิดคำถามถึงความเหมาะสมตามมาอย่างแน่นอน !
อย่าลืมว่า นายศุภชัยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคม-ดิจิทัลรายใหญ่ของประเทศ หากเข้ามามีอำนาจในการกำหนดกลไกรายละเอียดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม-ดิจิทัลจริง ก็เท่ากับรุกคืบเข้ามา “ครอบงำ” วงการโทรคมนาคม-ดิจิทัลอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะนอกเหนือจากการกำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบต่างๆแล้ว ในกฎหมายฉบับนี้ยังมีหมวดหนึ่งที่ว่าด้วยการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของสภาฯอีกด้วย
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เริ่มมีเสียงอื้ออึงจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในความพยายามสกัดกั้นไม่ให้ “กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่” เดินเกมกระดานนี้ได้สำเร็จ ก็จะซ้ำรอยคณะกรรมการ หรือบอร์ดต่างๆด้านเกษตรและปศุวัตว์ ที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มผลักดันจัดตั้ง และส่งคนเข้าไปกุมบังเหียนไว้อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่
หากหน้าตาของ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ออกมาเช่นนี้จริง จาก สภาดิจิทัลแห่งชาติ หรือ“สภาดีอี” ก็คงมีชะตากรรมไม่แตกต่างไปจากวงการเกษตร-ปศุสัตว์ ที่กลายเป็นเกมกินรวบของกลุ่มทุนใหญ่ไปอย่างถาวร!!!