จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.หรือ BAM) ซึ่งถูกจัดตั้งมาเพื่อบริหารจัดการ “สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” ของธนาคารกรุงพาณิชย์การ (BBC) ตามแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินของกระทรวงการคลัง หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 41
แต่กว่า BAM จะ “ตั้งลำ” กระทั่งบริหารงานของตัวเองได้ ก็ต้องรอให้ถึงปลายเดือน (28) ม.ค. 42 หลังจากที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้ประกอบกิจการเป็น "บริษัทบริหารสินทรัพย์" ตาม พรก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 โดยก่อนหน้านั้น (7 ม.ค.42) เพิ่งได้รับจดทะเบียนเป็น "บริษัทจำกัด" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เรียกได้ว่า BAM หรือ บสก.นั้น กลายเป็นธุรกิจ “ไฮบริดจ์ บิซิเนส” คือ เป็นทั้ง “บริษัทจำกัด” และ “บริษัทบริหารสินทรัพย์” ที่สามารถดำเนินงานไปได้ทั้ง 2 สถานะ...พร้อมกันในเวลาเดียวกัน แถมยังมีอีกจุดเด่นสำคัญที่ “บริษัทบริหารสินทรัพย์” รายอื่นๆ แม้กระทั่ง “บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติ” อย่าง...บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เอง ก็มีไม่เท่า
นั่นคือ จำนวนสาขาที่กระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ มากถึง 24 แห่ง ซึ่งสำนักงานสาขาที่ว่า...ก็คือ อดีตสาขาของ BBC ที่ถูกปิดตัวลง หลังเกิด “วิกฤติค่าเงินบาท” (ต้มยำกุ้ง) เมื่อ 2 ก.ค.40 จนต้อง “ปิดตัว” ไปพร้อมกับสถาบันการเงินอีกหลายสิบแห่งในเวลานั้น
ความที่มีพันธกิจ “สะสาง-สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นสินทรัพย์ประเภท “หนี้เสีย” (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) โดยสินทรัพย์ทั้งหมดนั้น ได้กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ
เมื่อได้สำนักงานสาขามาเป็น “ตัวช่วยสำคัญ” ในพันธกิจนี้ จึงทำให้โอกาสความสำเร็จของ BAM ที่ต้องตามล้างตามเช็ด “ขยะธุรกิจ” จากน้ำมือของฝ่ายการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้ามาแทะเล็ม BBC มีสูงกว่า “บริษัทบริหารสินทรัพย์” รายอื่น เนื่องเพราะคนของ BAM สามารถจะเข้าถึงตัวทรัพย์และแก้ไขปัญหาได้เร็วและง่ายกว่า
กระนั้น จำเป็นจะต้องได้นักบริหาร “มืออาชีพ” ที่รู้และเข้าใจในพันธกิจของ BAM ที่ต้องปิดตัวเองภายใน 10 ปี หลังเปิดดำเนินการในวันแรก ดังนั้น การบริหารจัดการ “สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” ของ BBC จึงต้องดำเนินการอย่างคนที่ “รู้และเป็นงาน” เท่านั้น
โชคดีที่ BAM ได้ “บรรยง วิเศษมงคลชัย” นักบริหารฝีมือดีมานั่งเป็น “กรรมการผู้จัดการใหญ่” หลังจาก “ลองผิดลองถูก” และเสียเวลามาหลายปี กระทั่ง กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในสังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของ BAM 100% ได้ทาบทามให้เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
“ช่วยเหลือและให้โอกาสลูกค้าได้ทรัพย์กลับคืนไป พร้อมกับเร่งทำงานให้บรรลุเป้าหมายเชิงคุณภาพ (ความพอใจของลูกค้า) มากกว่าเชิงปริมาณ (ผลกำไร)” นั่นคือ...แนวคิดหรือปรัชญาการบริหารงานของเขา ที่ได้ถูกจารึกไว้ในความทรงจำของใครอีกหลายคน
ไม่เพียงแค่นั้น “บรรยง”...ยังได้ “ต่อรอง” กับเจ้าของบริษัท ซึ่งก็คือ กองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อขอ “ขจัด” ความสิ้นหวังของเหล่าพนักงาน ที่ยามนั้น...จะต้องถูก “จับสลาก-คัดออก” เนื่องเพราะแผนเดิมของกองทุนฟื้นฟูฯ คือ จะต้อง “ปิดตัวลง” ภายใน 10 ปี โดยทุกๆ ปีจะต้องคัดพนักงานออกไป เพื่อให้เหลือจำนวนบุคลากร “น้อยลง” ตามจำนวนปีที่เหลือ
ยามนั้น...แทบไม่มีใครอยากทำงาน เพราะทุกคนมิอาจล่วงรู้ “ชะตากรรม” ของตัวเอง ว่าจะได้นั่งทำงานอยู่ในองค์กรนี้ “นานแค่ไหน?” ทุกคน...ทำงานกันแบบ “ซังกะตายและขอไปวันๆ” และนั่น...อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายและแผนงานของ BAM ในยุคของเขาเป็นผู้บริหาร!
หนึ่งในข้อเสนอที่ได้รับการขานรับจากกองทุนฟื้นฟูฯ คือ BAM จะหารายได้มาเลี้ยงตัวเอง โดยจ่ายเงินเดือนและโบนัสให้กับผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ รวมถึงจ่ายชำระคืนเงินทุนและกำไร ให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ แลกกับการอยู่ดำเนินงานต่อไป โดยไม่ต้อง “เอาพนักงานออก” และ “ปิดตัว” หากครบกำหนดเวลา 10 ปีในปี 2552
ผลจากการเจรจาต่อรองให้ครั้งนั้น ทำให้ BAM เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา และในวันนี้...วันที่ BAM ได้พลิกผันตัวเองมาเป็น “บริษัทมหาชน” ในนาม บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยยังคงใช้ “ตัวย่อ” ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เช่นเดิม และกำลังจะเข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในอีกไม่ช้านี้
แม้วันนี้...BAM จะมี “กรรมการผู้จัดการใหญ่-คนใหม่” เป็นลูกหม้อและอดีตผู้จัดการสาขาวารินชำราบ อุบลราชธานี ที่ชื่อ ”สมพร มูลศรีแก้ว” และได้ “บรรยง” มานั่งแท่นในตำแหน่ง “ประธานบอร์ดบริหาร” กระนั้น ทิศทางการทำงานของพวกเขา ก็ยังคงเหมือนเดิม...เหมือนยุคที่ “บรรยง” นั่งเก้าอี้ “กรรมการผู้จัดการใหญ่”
นั่นคือ เน้นการดำเนินงานในเชิงคุณภาพ (ความพึ่งพอใจของลูกค้า) มากกว่าเชิงปริมาณ (ผลกำไร) และแม้ในวันนี้...จะยังไม่มีการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2562 เนื่องเพราะพวกเขามีเหตุผลที่ไปสัมพันธ์กับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทว่าตัวเลขทุกด้าน ก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูผลการดำเนินงานเมื่อช่วงสิ้นปี 2561 จะพบว่า...ตัวเลขการดำเนินงานของ BAM ยังคงไว้วางใจได้ แม้จะไม่เน้นกำไรเหมือนช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ก็ตาม
คำยืนยันจากปากของ “ทองอุไร ลิ้มปิติ” ประธานบอร์ดฯ และเป็นผู้แทนคนสำคัญจากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยกล่าวตอนหนึ่ง...ถึง 4 ด้าน “ดี” ของ BAM เอาไว้ในงาน "BAM 20th Anniversary to the Future Together ก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน" โอกาสเฉลิมฉลองปีที่ 20 ณ ห้อง Cystal Ballroom โรงแรม ดิ เอทธินี เมื่อค่ำวันที่ 20 พ.ค. 61 ว่า...
1. ดีต่อประเทศ ทั้งในด้านการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสีย (NPL) และการจัดการสินทรัพย์รอการขาย (NPA) อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดทอนปัญหานี้ จนไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ
2. ดีต่อผู้ถือหุ้น เพราะนับแต่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะ "ผู้ถือหุ้นใหญ่" เปิดโอกาสให้ BAM บริหารงานต่อไป สร้างทั้งผลกำไรและการเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่องและเป็นมูลค่ามหาศาล
3. ดีต่อลูกค้าและลูกหนี้ เพราะ BAM มีนโยบายและแนวทางบริหารงานที่ไม่ได้นึงถึงแต่ผลกำไร แต่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีปัญหาอย่างแท้จริง เห็นได้ว่าหลายครั้งที่ลูกหนี้สามารถเจรจาประนอมหนี้ กระทั่งนำทรัพย์สินเหล่านั้นกลับไปบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเองและต่อสังคม
และ 4. ดีต่อสังคม ซึ่งเมื่อปัญหาทุกอย่างได้รับการแก้ไขในลักษณะ "ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน" ปัญหาที่จะตามมาเป็นปัญหาของสังคมจึงไม่เกิดขึ้น
“ในฐานะองค์กรของรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่า BAM ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถรับชำระจากการปรับโครงสร้างหนี้และจำหน่ายทรัพย์ได้มากถึง 215,989 ล้านบาท และสามารถปรับโครงสร้างหนี้กับลูกค้าจนได้ข้อยุติ 111,583 ราย คิดเป็นภาระเงินต้น 217,470 ล้านบาท นอกจากนี้ BAM ยังสามารถคืนเงินให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเป็นเงินทั้งสิ้น 75,000 ล้านบาท” ...”ทองอุไร” ระบุในครั้งนั้น
ไม่เพียงแค่คนของ BAM ในทุกระดับ จะชื่นชมกับผลงานตลอดช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาของนายบรรยง ผู้ที่ฝากผลงานในฐานะ “กรรมการผู้จัดการ” และมีบทบาทสำคัญทำให้ BAM ได้มีตัวตนในวันนี้เท่านั้น หากแต่...คนในกองทุนฟื้นฟูฯ, ธนาคารแห่งประเทศไทย, กระทรวงการคลัง และรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ต่างก็ “ซูฮก” ให้กับชายคนนี้ ว่าเขาคือ...ผู้ที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และคอนเน็กชั่นมากมาย บวกกับความมุ่งมันและหัวใจที่ “คิดบวก” ให้กับองค์กรที่ชื่อ BAM แห่งนี้
ไม่น่าแปลกใจที่ ”บรรยง” จะเป็นตัวเลือกสำคัญ ที่จะถูกร้องขอให้มานั่งเก้าอี้ “รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่” ในช่วงที่ BAM ยังขาด “กรรมการผู้จัดการใหญ่-ตัวจริง” และยังได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็น “ประธานบอร์ดบริหาร” หลังจากที่ได้ นายสมพร มานั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างลงแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น “บรรยง” ยังได้รับ “ร้องขอ” จากผู้ใหญ่บางคนในบ้านเมืองนี้ ให้มากำกับดูแลงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในฐานะ “ประธานบอร์ด บสย. คนใหม่” เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา
นั่นเพราะประสบการณ์ตรงจาก BAM หรือ บสก. ที่ถูกสั่งสมมายาวนานกว่า 15 ปี ได้ถูกคาดหวังว่าจะนำมาช่วยในการวางแผนงานและดำเนินการ เพื่อนำพา บสย.ก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคง เหมือนเช่นที่เคยทำให้กับ BAM
องค์กรอย่าง บสย. ซึ่งมีหน้าที่ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จะก้าวข้ามความเป็น “องค์กรหลัก” ที่คอยช่วยเหลือ ดูแลผู้ประกอบเหล่านั้น รวมถึงให้และเติมเต็มโอกาสแก่ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นๆ เช่นที่ “ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร“ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ได้คิดและริเริ่มเอาไว้บางส่วนแล้วหรือไม่? เป็นสิ่งจะได้รับการพิสูจน์ในเร็ววันนี้...
และโครงการ “หมอหนี้” ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งจากลูกหนี้ และสื่อที่คอยเกาะติดทำข่าว ตลอด 3 วัน (17-19 พ.ค.62) ของการจัดงาน Money Expo 2019 ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี ก็น่าจะพอพิสูจน์ “ผลงานคุณภาพ” ของคนที่ นายบรรยงได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ คนของ บสย. อาจยังไม่เคยได้สัมผัส เหมือนเช่นที่คนของ BAM ได้สัมผัสและรับรู้จนคุ้นชิน นั่นก็คือ “คอนเน็กชั่นดีๆ” ที่ ”บรรยง” นำพามาจาก “เพื่อนมิตร” ในกลุ่มสื่อมวลชน สู่องค์กรต้นสังกัด ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์และความรู้สึกดีๆ กระทั่ง แทบไม่มี “ข่าวลบ-ข่าวร้าย” ใดๆ ออกมาสู่หน้าสื่อ ไม่ว่าจะเป็นแขนงใดก็ตาม
ส่วนหนึ่งเพราะ “การบริหารจัดการที่ดีและมีคุณภาพ” ให้กับองค์กรต้นสังกัด อีกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ “คอนเน็กชั่นดีๆ” นั่นเอง
เพราะตัวเขา...ถือเป็น “บุคคลสำคัญ” ที่เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงสื่อมวลชน ต่างให้ความเคารพรักเสมอต้นเสมอปลาย และสิ่งนี้...จะถูกสานต่อจาก BAM มาถึง บสย. นับจากนี้ไป
โดย..กากบาทดำ