วิกฤตไวรัสโควิด-18 ระลอกใหม่ที่กำลังถั่งโถมเข้าใส่ประชาชนคนไทยครั้งล่าสุด โดยมียอดผู้ติดเขื้อพุ่งทะลักวันละ กว่า 1,500 คน และล่าสุดวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นไปถึง 2,000 คนแล้ว โดยมียอดสะสมผู้ติดเขื้อมากกว่า 46,000 คน และน่าจะถึง 50,000 คนภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้
ขณะตัวเลขผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นวันละ 5-6 ราย ทำเอานายกฯ และรัฐบาล "นั่งไม่ติด" สาละวันกับการควานหามาตรการรับมือ โดยเฉพาะกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทะลักล้นโรงพยาบาล และแม้รัฐบาลจะตั้ง รพ.สนาม Hospitel ขึ้นมาในเขต กทม. และหัวเมืองต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่กำลังลามเลียอย่างหนัก
แต่ปัญหาการประสานงานและจัดหาเตียงผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ที่จะต้องปลีกวิเวกออกไปจากสังคม ยังคงเป็นข้อกังขาของสังคมเพราะรัฐยังมั่วตุ้มจัดการปัญหากันอย่างสะเปะสะปะ
ภาพของ 2 ผัว-เมียที่อัดคลิปกราบกรานวิงวอนให้หน่วยงานรัฐส่งรถพยาบาลมารับตัวพวกเขาออกจากห้องพักบนคอนโดฯ ย่านรัตนาธิเบศร์ หลังเดินทางไปตรวจเชื้อโควิดยัง รพ.เอกชนแล้ว พบว่า พวกเขาติดเชื้อโควิด-19 แต่ทาง รพ.ขอให้กลับไปกักตัวที่บ้านก่อนเพราะเตียงเต็ม จะประสานหา รพ.ภาคสนามอื่นๆ ให้
แต่รอมา 2-3 วัน ก็ยังไม่มีวี่แววจะมีรถพยาบาลมารับตัว ทำให้อดเป็นห่วงกลัวเชื้อไวรัสลามไปติดลูกสาวและคนข้างเคียงเหมือนที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านย่านสายไหม สุดท้าย ต้องอัดคลิปกราบวิงวอนขอร้องผ่านสื่อโซเชียลถึงได้รับการติดต่อจากทีมแพทย์ให้ส่งรถพยาบาลไปรับตัวออกมา
เช่นเดียวกับ 3 อาม่าที่ย่านบางคอแหลมที่ต้องถูกทิ้งไว้อย่างเดียวดายหลังครอบครัว 6 ชีวิต ต้องติดเชื้อโควิดกันยกครัว แต่ รพ.รับไปทำการรักษาเพียง 3 คนเท่านั้น อีก 3 คนให้กลับมานอนรออยู่บ้านก่อน เพราะเตียงเต็ม แต่รอแล้วรอเล่าก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ 3 ชีวิตต้องถูกทิ้งอย่างเดียวดาย สุดท้าย 1 ใน 3 อาม่าที่อายุมากสุดวัย 84 ปี ต้องสิ้นลมไปอย่างน่าเวทนา โดยมี 2 อาม่านอนเฝ้าศพทั้งคืน เพราะตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้
ผิดกับภาพนักข่าวทีวีช่องใหญ่ย่านวิภาวดีที่ตรวจพบว่า ติดโควิด แล้วไม่อยากจะ "เกลือกกลั้ว" กับผู้ติดเชื้อทั่วไป เลยยกหูถึงระดับบิ๊กในสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้จัดเฮลิคอปเตอร์มารับไปยัง รพ.ที่ตนขอให้บิ๊ก กทม. จัดหาห้องพักระดับ VIP เอาไว้ด้วยอีก ทำให้สังคมต่างอิจฉาความเป็น "สื่อฐานันดร 4" มันวิเศษวิโสอย่างนี้นี่เอง!
กับประเด็นสุดฮอตที่ยังคงเป็น Talk of the Town
กับเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดตั้ง "คอลเซ็นเตอร์" สายด่วน 1668 ขึ้นมารับมือให้ผู้คนได้แจ้งขอรับความข่วยเหลืออย่างเร่งด่วน กรณีพบผู้ติดเขื้อและเป็นศูนย์ประสาน คัดกรองผู้ป่วยพร้อมจัดหา รพ.ให้
แต่กลับปรากฎว่า Call Center เจ้ากรรมกลับเต็มไปด้วยปัญหา ไม่สามารถจะทำงานรับมือกับผู้คนที่โทรเข้าไปจนสายไหม้ ขนาดตัวนายกฯ ยังฟิวส์ขาด เมื่อทดลองโทรไปยังสายด่วย 1668 แล้วพบว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย ก่อนจะสั่งการให้ สธ. เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
สิ่งที่ผู้คนได้พบเห็นในเวลาต่อมา ภายหลังจากที่ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เปิดคอลล์เซ็นเตอร์ 1668 ให้ผู้สื่อข่าวเข้าเยี่ยมชม ซึ่งพบว่า มีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยรับสาย ซักประวัติ พร้อมคัดกรองความเสี่ยงอยู่ราว 10 คนเท่านั้น และศูนย์ดังกล่าวก็เป็นเพียงห้องหับโล่งๆ ปราศจากคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารใดๆ เจ้าหน้าที่ต้องทำงานโดยการจดบันทึกกันด้วยมือแทบมือหงิก
ปฎิเสธไม่ได้ว่า สภาพการทำงานของภาครัฐต่อการรับมือวิกฤตโควิดระลอกใหม่ แทบจะกล่าวได้ว่า "บ้อท่า" โดยสิ้นเชิง
ทั้งที่ทุกฝ่ายต่างประจักษ์กันดี วิกฤตการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ระลอกใหม่นั้นหนักหนาสาหัสกว่าครั้งก่อนๆ เราจำเป็นต้องระดมสรรพกำลังกันระดับไหนถึงจะรับมือได้
การที่ 40 ซีอีโอในภาคเอกชน ทั้งจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมทั้ง "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานอาวุโสเครือ ซี.พี. ที่ออกโรงกระทุ้งให้นายกฯ ต้องกล้าตัดสินใจ (หักดิบ) เพื่อ "ปลดล็อค" แก้ไขปัญหาคอขวดของการจัดหาวัคซีนต้านโควิด
สิ่งเหล่านี้ เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในนโยบายการบริหารจัดการของภาครัฐ ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เมื่อหวนกลับมาสแกนกลไกสำคัญที่ถือเป็นด่านหน้า ในอันที่จะรับมือกับวิกฤต covid ในครั้งนี้ คือ Call Center สายด่วน 1668 ที่ สธ.จัดตั้งขึ้นมานั้น เรากลับพบว่า สธ.และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. กลับเอาเจ้าหน้าที่มานั่งทำงาน ตอบปัญหาและรับมือกับวิกฤตระดับชาตินี้ ด้วยระบบ "Manual" สุดล้าสมัยในยุค 1.0 ก่อนที่ประเทศไทยจะรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์และมือถือเสียอีก!
จนหลายคนถึงกับอุทาน "นี่เราอยู่ในยุคไหนกัน เราอยู่ในปี พ.ศ.2464 หรือ 2564 ที่ยังไม่มี "กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)" ใช่ไหม เรายังไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่จะสื่อสารกับผู้คนได้เลยหรือ ศูนย์รับแจ้งเหตุหรือ "คอลล์เซ็นเตอร์" ของรัฐ 1668 ถึงได้ทำงานด้วยระบบที่มันล้าสมัยกันได้ขนาดนี้"
เหตุใด ศบค.ยังนำเอาระบบสื่อสารนในยุค 1.0 มารับมือกับอุบัตติการณ์ของโรคใหม่ในยุค 4.0
แล้วกระทรวงดีอีเอสอยู่ไหน? แล้วศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ศูนย์รับมือวิกฤติอะไรต่อมิอะไรที่ประเทศต้องมีอยู่ไหน? ไหนล่ะการบูรณาการ....
ตัวนายกรัฐมนตรีที่เป็นประธาน "คณะกรรมการขับเคลื่อน 5G" มัวฟ้อนเงี้ยวอยู่ที่ไหน เหตุใดปล่อยให้มีการจัดตั้งศูนย์ Call Center สายด่วนได้สุดโหลยโท่ยได้ขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ต้องจดบันทึกด้วยลายมือ ไม่มีคอมพิวเตอร์แม้สักเครื่อง การบูรณาการกับ ศบค.แอปพลิเคชั่นไลน์ ไทยชนะ หมอชนะ อะไรทั้งหลายแหล่ กลับไม่มีเอาเลย!
วันนี้ประชาชนคนไทยใช้ 4จี 5จี ใช้มือถือใช้สมาร์ทโฟนกันเป็นส่วนใหญ่กันแล้ว เรามีเลขหมายมือถือมากกว่า 120 ล้านเลขหมายไปแล้ว เราได้ชื่อว่าใช้อินเทอร์เน็ตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซื้อของผ่านช้อปปิ้ง ออนไลน์เป็นอันดับ 3 ของโลก
แต่ระบบ "คอลเซ็นเตอร์" ที่จะรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 กลับยังคงนำเอาระบบ Manual 1.0 มาใช้ เหตุใดจึงไม่รู้จักการบูรณาการนำเอาระบบ 4G 5G เทคโนโลยี AI หรือ App มาใช้ (จนทำให้หลายฝ่ายได้แต่ทอดถอนใจ นี่ภาครัฐ และ สธ. จะรู้จักกับคำว่า "แอปลิเคชั่น" หรือไม่ (หรือรู้จักแต่ แอ็ป...ทักษอร)
เพราะแทนจะเปิดแอพ เปิดไลน์ สายด่วนฝังมันลงไปในระบบ กลับลนลานมาจัดตั้งศูนย์/สายด่วน 1.0 รับมือ
ที่สำคัญ ประเทศไทยเรามี AIS 3BB DTAC True และ NT สุดบิ๊กบึ้มของรัฐฯ อยู่แล้ว แต่ละรายล้วนมี Call Center ระดับไฮเทคทั้งนั้น หากรัฐบาลและกระทรวงดีอีเอสจะเอ่ยปากอ้อนวอนหรือหักคอขอให้ทุกค่ายเข้ามาช่วยติดตั้งเซทระบบ แบ่งคน มาช่วยแบบวนๆ ไป ทำไมเขาจะไม่ช่วย..
จะระดม นศ.แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร Volunterrs เข้ามาร่วมรับมือกับสถานการณ์ทีกำลังคุกกรุ่นแบบนี้ มีหรือค่ายสื่อวาน และอาสาสมัครเหล่านี้จะไม่ข่วย
ก็หากการบูรณาการจัดตั้งคอลล์เซ็นเตอร์ที่ว่านี้ ทำกันได้แค่นี้ ก็สู้ให้พลเอกประยุทธ์ออกทีวี แนะนำประชาชนให้ลั่นฆ้อง ตีระฆัง หรือตีเกราะเคาะหม้อไห เป่านกหวีดขอความช่วยเหลือยังจะดีเสียกว่า
หรือไม่หากสิ้นหนทางจริงๆ ก็ลองไปหารือ "เจ้าสัวน้อย" ปธ.สภาดิจิทัล เลยว่า จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำ ให้ Call center ทันสมัยเข้ากับนโยบาย ดิจิทัล 4.0 ของรัฐบาล
เพราะนัยว่า สภาดิจิทัลกำลังควานหาผลงานสุดลิ่ม หลังจากที่ต้องเสียรางวัดไปครั้งก่อน!!!