หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาประกาศขึงขังชูนโยบายปราบปรามการทุจิตคอร์รัปขันให้เป็น “วาระแห่งชาติ" พร้อมขอความร่วมมือข้าราชการและประชาชนในทุกภาคส่วน ให้ร่วมกันผลักดันนโยบายนี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมแต่หลายฝ่ายที่เฝ้าติดตามการดำเนินนโยบายของรัฐบาลก็ออกมาสัพยอก กี่ "วาระแห่งชาติ" เข้าไปแล้วที่รัฐบาลได้ป่าวประกาศออกไปแล้ว ละลายหายเข้ากลีบเมฆ กลายเป็นแค่ราคาคุยเพราะแค่การเดินหน้าปฎิบัติปราบปรามทุจริตและคอร์รัปชั่นในหน่วยงานใกล้ตัวนายกรัฐมนตรี อย่าง “หน่วยงานรัฐ” ก็ถึงกลับหงายเงิบ! เพราะงานนี้หน่วยงานตรวจสอบการทุจริตและคอรัปชั่น อย่าง ”สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (บก ป.ป.ป.) ถึงกับไปไม่เป็น..เมื่อเจอปัญหาขบวนการตรวจสอบทุจริตและคอรัปชั่น ”ติดล็อค”!เปิดเบื้องลึก..ปราบปรามทุจริต”ทำงานยาก”ช่วงนี้ หน่วยงานปราบปรามทุจริต ถึงกับบ่นอุบว่า การขานรับนโยบายวาระแห่งชาติในการปราบปราบปรามทุจริตและคอรัปชั่นของรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อลงลึกไปในการทำงานนั้น ยากและลำบากมาก สงสารผู้เสียหายที่มาร้องเรียน หน่วยงานต่าง กลับ ไม่มีอำนาจการสืบสวนสอบสวน เพราะเกิดการ “ติดล็อค” ต้องส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มอบหมายกลับมา ล่าช้ามาก หลายข้อร้องเรียนที่เป็นเรื่องเร่งด่วนกลับเสียโอกาสในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานอย่างทันทีทันใด ส่งผลต้องรอการมอบหมายจาก ป.ป.ช. กลายเป็นคดีแห้ง พยานหลักฐานสูญหาย ถูกทำลาย ไปก่อนมีอำนาจ น่าเสียดาย จะหวังขยายผลเพื่อไปยังตัวสั่งการ หรือตามร่องรอยเพื่อขยายผล ติดตามริบทรัพย์สินคืนแผ่นดินยากเต็มที“พอจะติดเครื่องลุยสอบ แต่กลับโดนเบรค พนักงานสอบสวนไปไม่เป็นเลย ส่งผลความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา ในกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น ยิ่งผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้มีอิทธิพล หรืออยู่เครือข่ายฝ่ายการเมือง อุปสรรคการแทรกแซงเยอะ ไม่ต้องหวังว่าจะทำงานได้เร็ว แค่การตั้งเรื่อง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่มาทำงานความหวังยังไกล นโยบายด้านการปราบปรามการทุจริตมองไม่เห็นอนาคตว่าจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร”มิพักต้องพูดถึง การควบคุมคุณภาพการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานว่า จะมีโอกาสใช้เครื่องมือมาตรการทางกฎหมายให้มีประสิทธิภาพหรือเปล่า เพราะการบูรณาการความร่วมมือกันทำงานแบบประสานสอดคล้อง เพื่อให้มีประสบความสำเร็จอาจจะเป็นความฝัน เมื่อหน่วยงานภาครัฐกันเองยังไม่มีความไว้ใจเชื่อใจกัน มันเป็นปัญหาแม่ปูกับลูกปู ดูที่ผู้นำทางปัญหาตามมาก็คือ เสียงบประมาณไปกับการตรวจสอบ ใช้งบประมาณตรวจสอบกันตลอด แต่ไม่สามารถ สอบสวนรวบรวมหลักฐานขยายตัว นำตัวการมาดำเนินคดีเรียกค่าเสียหาย ริบทรัพย์สินคืนได้ คนโกงก็มีที่ยืนในสังคม โชว์ความร่ำรวยให้เด็กๆเอาไปเป็นตัวอย่างต่อไป เราจะยอมให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน หรือเป็นเพียงลมปาก “วาระแห่งชาติปราบปรามทุจริต” แต่หน่วยงานองค์กรที่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลทำงานไม่ได้จริง แฉปมปัญหาไล่ล่าทุจริต “ติดช็อค”ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว สืบเนื่องมาจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เรื่องการปราบปรามการทุจริต ปี 2561 แก้ไขให้ ปปช. เป็นหน่วยเดียวในการสอบสวนคดีทุจริตโดยมาตรา ๖๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ให้ดําเนินคดีกับเจ้าพนักงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดในข้อหาใด ๆ บรรดาที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้พนักงานสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น แล้วส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องที่ได้รับมาตามวรรคหนึ่ง ไม่อยู่ในหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือแม้จะอยู่ในหน้าที่และอํานาจแต่เป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ที่เป็นการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรมอบหมายให้พนักงาน สอบสวนเป็นผู้ดําเนินการ ก็ให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง จากพนักงานสอบสวน โดยจะกําหนดระยะเวลาในการดําเนินการให้พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติด้วยก็ได้“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ทุกหน่วยที่ต้องรับเรื่องร้องทุกข์ จากผู้เสียหาย ต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนกว่าจะสรุปเรื่องส่ง และกว่า ปปช. จะส่งกลับมา ไม่ทันการไม่มีอำนาจที่จะขยายผล”ปัญหาสำคัญ คือ ถูกล็อคอำนาจหน้าที่จาก ปปช. ใช้เทคนิคการสืบสวนตามกฏหมายไม่ได้เลย ต้องให้ ปปช. มอบหมาย ดังนั้น ควรปรับให้พนักงานสอบสวน ในหน่วยงานที่สืบสวนปราบปรามทุจริต ทั้งของ สตช. ปปท. มีอำนาจสืบสวนสอบสวนได้เหมือนคดีอาญาทั่วไป หรือต้อง “ติดดาบ” ให้กับหน่วยงานเหล่านี้!และที่สำคัญต้องมีอำนาจสืบสวนสอบสวนความผิดอาญาที่เกี่ยวเนื่อง และบังคับให้ริบทรัพย์สิน ชดใช้ความเสียหายให้รวดเร็วรวมถึงใช้การสืบสวนสอบสวนมาตรการความร่วมมือทางกระบวนการยุติธรรม กับประเทศต่างๆ ในการอายัด ติดตาม ริบทรัพย์สิน การลงทุนที่อยู่ในต่างประเทศ..ไม่ใช่ปล่อยให้คนทำผิดลอยนวล นั่งเสวยสุขอยู่กับการใช้ทรัพย์สินที่โกงของคนอื่นไปบทสรุปในเรื่องนี้ หากรัฐบาลต้องการให้ “วาระแห่งชาติในการปราบปรามทุจริตและคอรัปชั่นได้ผล” ก็ต้องลงมาแก้ปัญหา “ติดล็อค” ในการปราบปรามทุจริตและคอรัปชั่น..ไม่เช่นนโยบายสวยหรู ก็แค่ลมปาก!