หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)สร้างวีรกรรมที่ทำเอาผู้คนในสังคมได้แต่เอือมระอากับคำสั่ง “จอดำ”วอยซ์ทีวี ด้วยข้ออ้างแพร่ภาพข่าวสารที่สร้างความแตกแยกและสับสนให้ผู้คนในสังคม
โดย กสทช.ยืนยันว่า มติบอร์ดที่ออกไปดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงขององค์กรใดๆ
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวในแวดวงโทรคมนาคมได้เปิดเผยวีรกรรมของหน่วยงานนี้ต่อ “เนตรทิพย์ ออนไลน์” ว่า การที่บอร์ด กสทช.ออกมาแสดงจุดยืนยืนในการทำงานอย่างมีอิสระปราศจากการครอบงำใดๆ นั้น ก็ชวนให้น่าสงสัย เพราะที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่องค์กรดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความโปร่งใสในการทำหน้าที่
โดยเฉพาะกรณีการนำส่งรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ 1800 MHz ตามประกาศ กสทช.ปี 2556 (ประกาศเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน) และรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ 900 MHz ตามประกาศกสทช.ปี 2558 วงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท ที่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งจนถึงขณะนี้ กสทช.ยังคงไม่สามารถปิดบัญชีลงได้
เหตุผลที่ กสทช.ไม่สามารถปิดบัญชีเงินรายได้จากการใช้งานคลื่น 1800 ก็เพราะนโยบาย “ไม้หลักปักเลน” ของ กสทช.เองถูกวิพากษ์อย่างหนักว่ามี “วาระซ่อนเร้น” เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทสื่อสารบางรายจนออกนอกหน้า
ทั้งนี้เพราะรายได้จากการใช้งานคลื่น 1800 MHz ตามประกาศกสทช.ปี 2556 นั้นแม้ กสทช.จะตั้งคณะทำงานติดตามและตรวจสอบเงินรายได้ในช่วงมาตรการเยียวยา ก่อนจะสรุปตัวเลขเอาไว้ 14,868 ล้านบาท แยกเป็นรายได้ของบริษัททรูมูฟ 13,900 ล้านบาทเศษ และบริษัทดีพีซี (ในเครือเอไอเอส) 768 ล้านบาท
แต่เมื่อบริษัททรูมูฟ ร้องขอให้ทบทวน สำนักงานกสทช.ก็กระโดดรับลูกก่อนตั้งคณะทำงานกลั่นกรองขึ้นมาทบทวนและได้สรุปตัวเลขใหม่เหลืออยู่เพียง 1,500 ล้านบาทเศษเท่านั้น ต่ำกว่าที่คณะทำงานสรุปไว้ร่วม 12,000 ล้านบาทจนกลายเป็น “เผือกร้อน” ที่ทำให้บอร์ดโทรคมนาคม (กทค.) ใน กสทช.ไม่กล้าเคาะโต๊ะเห็นชอบ
ขณะที่เงินรายได้จากการใช้งานคลื่น 900 MHz ของเอไอเอสตามประกาศ กสทช.ปี 2558 ที่มีระยะเวลาเยียวยาเพียง 9 เดือนนั้น กสทช.กลับมีคำสั่งทางปกครองให้บริษัทนำส่งเงินรายได้เข้ารัฐรวดเดียว 7,200 ล้านบาท โดยไม่รับอุทธรณ์หรือตั้งคณะทำงานกลั่นกรองใดๆ ให้ กระทั่งบริษัทเอกชนต้องวิ่งโร่ฟ้องศาลปกครองเพื่อชี้ขาด กลายเป็นอีกปมปัญหาคาราคาซังกระทั่งปัจจุบัน
เพราะการปฏิบัติที่ต่างกันลิบลับข้างต้น จึงทำให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (บอร์ด กทค.) ใน กสทช.ไม่กล้าชี้ขาด ได้แต่ทำหนังสือสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปี ก่อนที่ท้ายที่สุด สำนักงาน กสทช.จะเชิญอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามารับหน้าเสื่อร่วมเป็นคณะทำงานตรวจสอบตัวเลขเงินรายได้นำส่งคลัง มีการเคาะตัวเลขสุดท้ายที่บริษัททรูมูฟต้องนำส่งรัฐ 3,500 ล้านบาท และดีพีซีในเครือเอไอเอส 768 ล้านบาท แต่กระนั้นบอร์ด กสทช.ก็ยังไม่กล้าทุบโต๊ะชี้ขาดเพราะเกรงจะถูกเช็คบิลย้อนหลัง
เมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)มีหนังสือท้วงติงเรื่องนี้ขึ้นม สิ่งที่ กสทช.ทำได้จึงเป็นเพียงการมีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทเอกชนใหจ่ายเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ข้างต้นมายัง กสทช.เท่านั้น โดย กสทช.ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่สังคมได้ว่า กรณีเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ 1800 และ 900 MHz ที่คาราคาซังมากว่า 6 ปีแล้ว จึงยังปิดบัญชีไม่ลง!
กลายเป็นปัญหา "ซุกใต้พรม" ที่กระทั่งวันนี้ยังไร้คำตอบ
ขณะที่รัฐบาลกำลังไล่เก็บใบมะขามแสวงหาแหล่งรายได้มาเติมเต็มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เติมเต็มนโยบายประชารัฐ รวมทั้งล่าสุดจะต้องใช้เงินอีกนับแสนล้านในการเต็มเต็มเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เม็ดเงินรายได้ก้อนใหญ่กว่า 20,000 ล้าน (อ่านว่าสองหมื่นล้านบาท) ที่หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ กสทช.ซุกเอาไว้ใต้พรมแห่งนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดี
เพียงแค่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.มีคำสั่งไปยังเลขาธิการ กสทช.ขอทราบความคืบหน้าเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่1800และ 900MHz ที่ต้องนำส่งคลังคืบหน้าไปถึงไหน โดยไม่ต้องไปไล่เก็บ "ใบมะขาม" ใดๆ อีก!!!