แหล่งข่าวจากวงการโทรคมนาคม เปิดเผยถึงความซับซ้อนกรณีสัมปทานดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติไทยคม ที่ล่าสุดกำลังมีความพยายามจะแปรสภาพให้เป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจโดนผลักดันให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน)หรือแคทเข้าไปซื้อกิจการ(Take over) เพื่อตัดปัญหานั้นว่า ส่วนหนึ่งของความยุ่งเหยิงนั้น มาจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง
แม้ที่มาของสัมปทานดาวเทียมในอดีตเมื่อปี 2534 นั้น จะมาจากกระทรวงคมนาคมเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบสัมปทานไทยคม โดยไม่ได้มอบหมายให้หน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง จึงทำให้สัมปทานดังกล่าวถูกตีความว่าใช้อำนาจจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นผู้อนุมัติสัมปทาน และให้กระทรวงเป็นผู้กำกับดูแลก่อน จะถูกโอนมายังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปัจจุบัน
แต่เมื่อมีพระราชบัญญัติโทรคมนาคมนาคม พ.ศ.2544 และพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ปี 2553 ที่ให้ยกเลิกบรรดากฎหมายโทรคมนาคมผูกขาดอื่น ๆ และเปลี่ยนระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาตภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.”
กิจการดาวเทียมกลับไม่ได้ถูกกล่าวถึง ยกเว้นในส่วนของการใช้คลื่นความถี่ในการยิงสัญญาณอัพลิงค์-ดาวน์ลิงค์เท่านั้น จึงทำให้เกิดความลักลั่นในการกำกับดูแลกิจการดาวเทียม ก่อให้เกิดปัญหากับดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ที่แม้ กสทช.จะออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมให้ไปแล้ว
แม้ล่าสุด กสทช.จะดำเนินการยกร่างแก้ไขพรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯปี 2561 ที่ให้อำนาจ กสทช.กำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่ครอบคลุมไปถึงกิจการดาวเทียมด้วย แต่กระนั้น กสทช. ก็กลับชิ่งที่จะไม่เข้าไปจัดการกับปัญหาไทยคม ด้วยอ้างว่าเป็นเรื่องเก่า ที่ต้องให้คู่สัญญาไปดำเนินการเจรจาหาทางออกเอาเอง
“ไม่ต่างจากคดีความทางอาญาที่อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังไม่ยุติ แต่พอมีการโอนคดีทั้งมวลไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ แทนที่จะโอนคดีความต่างๆ ที่คาราคาซังไปทั้งหมด แต่ดีเอสไอก็กลับมาอ้างว่า ยกเว้นคดีไทยคมที่ไม่สามารถจะจัดการได้ขอให้อยู่ที่เดิม แต่ในส่วนของคดีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นก็ให้
เป็นอำนาจของตนเอง”
ในส่วนของผู้ถือหุ้นไทยคมนั้น แสดงจุดยืนที่จะถอนตัวหลังจากไม่สามารถเจรจาผ่าทางตันเรื่องใบอนุญาตประกอบกิจการไทยคม 7 และไทยคม 8 ได้ รวมทั้งในส่วนของไทยคม 9 และ 10 ที่ประเทศไทยต้องชวดในการรักษาวงโคจรดาวเทียมดังกล่าวไปเพราะความไม่ชัดเจนของนโยบายภาครัฐและกระทรวงดีอี
ที่ผ่านมาอดีตผู้บริหารไทยคม จึงได้มีการเจรจากับบริษัทกสท โทรคมนาคมหรือแคท ถึงแนวทางในการร่วมทุนเพื่อบริหารทรัพย์สิน Asset หลังสัมปทานสิ้นสุดลงในปี 2564เพราะในส่วนของดาวเทียมและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องนั้นยังคงมีอายุการใช้งานต่อไปได้อีก 4-5 ปีจากการใช้เทคโนโลยีโดรนเข้าไปปรับปรุง ประสิทธิภาพเพื่อยืดอายุการใช้งานดาวเทียมออกไป จึงมีการเจรจาเพื่อร่วมกันบริหารทรัพย์สินในรูปแบบ พีพีพี
แต่แนวทางดังกล่าวกลับถูกมือดีอดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ทิ้งบอมบ์ โดยอ้างว่า ยากจะฝ่าที่ประชุม คสช.ได้ ก่อนจะนำเสนอแนวทางในการดึงบริษัทล็อบบี้ยิสต์ระดับชาติ ที่มีสายสัมพันธ์อยู่กับเจ้าพ่อตลาดหุ้น เพื่อชงแผนดึงแคทเข้ามาเทคโอเวอร์ไทยคมโดยตรงแทน ด้วยข้ออ้างหากแปรสภาพไทยคมมาเป็นกิจการของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจแล้วจะทำให้ขอใบอนุญาตต่างๆ ได้เร็วขึ้น โดยไม่สนว่ากิจการจะเดินหน้าไปไดหรือไม่
“ไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังดิวพิสดารแห่งชาติ ที่จะแปรสภาพไทยคมที่เหลืออายุการใช้งานอีก 4-5 ปี โดยจะดึงเงินของรัฐจากการสื่อสารไปซื้อ 8,500-9,000 ล้านบาทนั้น หวังแค่ทำให้ดิวนี้ไปถึงฝั่งผ่านที่ประชุม คสช.และครม.เท่านั้น เพื่อหวังเม็ดเงินค่าต๋งจากค่านายหน้าในการจับแพะชนแกะเท่านั้น โดยตัวเลขที่มีการเสนอขายให้รัฐนั้นก็มีการบวกเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าเอาไว้ไม่รู้กี่ขยัก ซึ่งหากรัฐบาลตกหลุมพรางดันบริษัทกสท โทรคมนาคมหรือแคทฮุบกิจการไทยคมไปเป็นรัฐวิสาหกิจไป เชื่อแน่ว่าอนาคตจะทำให้รัฐต้องขาดทุนบักโกรกครั้งใหญ่ตามมาแน่”