กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม เมื่อเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ “หลานแสบหลอกฮุบที่ดินคุณตาวัย 89” โดยจูงมือขึ้นสำนักงานที่ดินอ้างช่วยทำพินัยกรรม ก่อนมุบมิบหลอกเซ็นโอนที่กว่า 30 ล้าน ต้องวิ่งโร่ขึ้นโรงพักแจ้งความเอาเรื่อง
หลานนอกใส้สุดแสบอาศัยความไว้วางใจหลอกคุณตาวัย 89 ขึ้นสำนักงานที่ดินอ้างช่วยทำพินัยกรรม ก่อนมุบมิบหลอกเซ็นโอนที่ดิน 5 แปลงมูลค่ากว่า 30 ล้านไปหน้าตาเฉย ก่อนเอะใจขอให้หลานชายอีกคนช่วยตรวจสอบ พบที่ดินถูกโอนเปลี่ยนมือไปแล้ว ต้องวิ่งโร่ขึ้นโรงพักแจ้งความเอาเรื่อง
เรื่องของหลานนอกไส้สุดแสบที่หลอกฮุบที่ดินคุณตาวัย 89 ปี แถมยังท้าคุณตาหากอยากได้คืนให้ไปฟ้องเอารายนี้เกิดขึ้น โดยผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายชุบ นารอด อายุ 89 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25 หมู่ 8 ต.ไม้เค็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ว่า ตนถูกหลานสาวสมคบคิดกับเจ้าหน้าที่ที่ดินปราจีนบุรีฉ้อโกง และยักยอกเอาที่ดิน โดยหลอกให้ตนเซ็นเอกสารที่อ้างว่าเป็นการทำพินัยกรรมทำการโอนโฉนดที่ดินที่ตนมีอยู่ 5 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 18 ไร่ไปทั้งหมด
โดยนายชุบได้ย้อนรอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2564 เวลาประมาณ 13.30 น. นางวัชรินทร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ ของตนและสามี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ได้ชวนตนเดินทางไปอำเภอเพื่อทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดินที่ตนมีอยู่ โดยเมื่อไปถึงจึงทราบว่าเป็นสำนักงานที่ดินปราจีนบุรี ไม่ใช่อำเภอ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าแค่มาทำพินัยกรรมเอาไว้เท่านั้น โดยเมื่อไปถึง ตัวนางวัชรินทร์และสามีก็เข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดินภายในห้อง ส่วนตนนั้นนั่งรออยู่ที่โต๊ะห่างออกไปราว 10 เมตร ทำให้ไม่ทราบเลยว่า เขามีการพูดคุยอะไรกัน จนเวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมง นางวัชรินทร์ก็มาตามตนเข้าไปเซ็นชื่อในเอกสารที่เจ้าหน้าที่ยื่นให้ โดยไม่ได้แจ้งให้ตนทราบว่าเป็นเอกสารอะไร ตนเข้าใจว่า น่าจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับการทำพินัยกรรม จึงไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อเซ็นเอกสารครบแล้วนางวัชรินทร์และสามารถ ก็พาตนกลับทันที โดยไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นเอกสารอะไรบ้าง
คล้อยหลังจากที่ตนเดินทางกลับมาบ้าน 2 วัน หลานชายอีกคนของตนที่เป็นพี่ชายนางวัชรินทร์ได้เดินทางกลับมาเยี่ยมมารดาและน้องสาว ตนจึงได้เล่าเรื่องการทำเอกสารพินัยกรรมให้ฟัง แต่ยังไม่เข้าใจว่า รายละเอียดของพินัยกรรมและเอกสารที่เซ็นไปนั้นเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้อ่าน และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้มีการสอบถามหรืออ่านให้ฟังแต่อย่างใด ตนจึงได้ชักชวนหลานชายเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินอีกครั้ง เพื่อขอทราบรายละเอียดเอกสารพินัยกรรมที่เซ็นไปวันก่อน จึงทำให้ทราบว่า เอกสารที่ตนเซ็นไปนั้น ไม่ได้เป็นเอกสารพินัยกรรม แต่เป็นการเซ็นโอนขายที่ดิน เป็นการลงลายมือชื่อผู้ขายที่ดิน จำนวน 5 แปลง 5 โฉนด เนื้อที่รวมกว่า 18 ไร่ ให้กับนางวัชรินทร์ และได้มีการโอนชื่อสลักหลังอินโฉนดเรียบร้อยแล้ว ตนจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบว่า ตนไม่รู้เรื่อง และไม่ได้คิดจะขายที่ดินให้แก่ใคร แต่ถูกหลอกให้เซ็นชื่อ จึงขอให้ทางสำนักงานที่ดินได้ดำเนินการอายัดที่ดินเอาไว้ก่อน และได้เดินทางไปแจ้งความเอาผิดข้อหายักยอกทรัพย์กับนางวัชรินทร์ และสามีไว้กับ สภ.เมืองปราจีนบุรี ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรียกนางวัชรินทร์และสามีมาดำเนินคดี และรีบคืนโฉนดกลับมาให้ตนโดยเร็ว
“จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ดิน ทำให้ทราบว่า สองผัวเมียที่มีศักดิ์เป็นหลานตนนั้นได้อ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าตนได้ขายที่ดิน 5 แปลง 5 โฉนด เนื้อที่รวมกว่า 18 ไร่ให้ ในราคารวม 300,000 บาท ทั้งที่ราคาที่ดินทั้ง 5 แปลง ซึ่งอยู่ติดกับถนนตัดใหม่เป็นแหล่งความเจริญมีการซื้อขายกันไร่ละ 2-3 ล้านบาท หรือหากยึดราคาประเมินของกรมที่ดินแค่ไร่ละ 1 แสนบาท อย่างน้อยราคาก็ต้องสูงกว่า 1.8 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาขายราคาแค่ 300,000 บาท และที่ไปอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขายที่ดินให้นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะเงินสักแดงก็ไม่ได้รับ อีกทั้งตนเองก็ไม่คิดที่จะขายที่ดินทั้งหมด เพียงแต่อยากทำพินัยกรรมทิ้งเอาไว้ให้ลูกหลานเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดทั้งสองผัวเมียที่ตนรักเหมือนลูกหลานมาโดยตลอดถึงทำกับตนได้ลงคอแบบนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ดินเองก็ไม่มีการทักท้วงอะไร ไม่มีการเรียกตนไปสอบถามหรือแจ้งอะไรให้ทราบในระหว่างการเซ็นชื่อแต่อย่างใด และที่เจ็บใจที่สุด หลังจากที่ตนรู้ความจริงและบอกให้นางวัชรินทร์ทำการโอนโฉนดคืนกลับมา ตนจะไม่เอาเรื่อง กลับได้รับคำตอบว่า หากอยากได้คืนก็ให้ตนไปฟ้องเอาเอง ตนจึงได้นำเรื่องไปฟ้องสองผัวเมียแสบคู่นี้ต่อไป”