จะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัท กสทโทรคมนาคม หรือ CAT ที่แม้แต่กิจการที่เป็น Core Business ยังหืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง แต่กลับทำแผนสยายปีกขยายกิจการไป เทคโอเวอร์กิจการดาวเทียมไทยคมร่วม 8,500- 9,000 ล้าน ขนาดบริษัทเอกชนที่เป็นมืออาชีพยังหืดจับจากสภาวะตลาดแข่งขันที่ดุดันดุเดือดเลือดพล่าน แล้ว กสท.กินดีหมีมาจากไหนถึงหาญกล้าจะเข้ามา Take over ไทยคมไปบริหาร เป็นแผน “เซ็งลี้” เพื่อดึงรัฐวิสาหกิจเข้าไปแบกขี้แทนใครหรือไม่?
สำนักข่าวเนตรทิพย์: ออนไลน์ เจาะเบื้องลึกชนิด “ถึงกึ๋น ถึงแก่น”..แบบไม่เกรงใจในเรื่องนี้..
เป็นอีกประเด็นสุดฮอต เป็น Talk of the Town ในแวดวงโทรคมนาคม กับเรื่องที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 มกราคม 62 เห็นชอบแผนบริหารจัดการดาวเทียมไทยคม หลังสิ้นสุดสัมปทานปี 2564 ที่จะไม่มีการต่อหรือขยายสัมปทานใดๆ ให้อีก แต่จะให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(ดีอี) ไปพิจารณาแนวทางการบริหารทรัพย์สินที่ได้จากสัมปทาน ในรูปแบบการดึงเอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ “PPP” หรือปล่อยให้เอกชนเช่าใช้
ห้วงเวลาเดียวกันก็มีกระแสข่าวสะพัด กระทรวงดีอีเตรียมเสนอขออนุมัติให้ บริษัท กสทโทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เข้าไปเทคโอเวอร์ บริษัทไทยคมเพื่อผ่าทางตันปัญหาทั้งมวลแบบ “ม้วนเดียวจบ” ออกกมา ทำเอาแวดวงสื่อสารโทรคมนาคมหูผึ่ง ถือเป็นโมเดลปั้นรัฐวิสาหกิจใหม่ที่ไม่รู้จะจบลงแบบ “ม้วนเดียวจบ” ของแคทหรือไทยคมกันแน่!
ย้อนรอยอภิมหาดีลแห่งปี
การดึงแคทเข้าไป Take over กิจการไทยคมนั้น นัยว่าถูกผลักดันและเร่งรัดจะต้องแล้วเสร๊จก่อนการเลือกตั้ง วันที่ 24 มีนาคมศกนี้ เพื่อการันตีว่า จะไม่มีการพลิกผันใดๆ ตามมาอีก ทำให้คณะทำงานของทั้งสองฝ่ายต้องเร่งโม่แป้งทำดีลลิลิเจน เพื่อปิดดีลแห่งปีนี้อย่างสุดลิ่ม ท่ามกลางข้อกังขา ขนาดธุรกิจหลักที่เป็น Core Business ของตนเอง บริษัท กสท.หรือแคทยังแทบเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปสยายปีกขยายกิจการเพื่อ Take over ไทยคมเพื่อแปรสภาพมาเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจเพื่ออะไร มันจะไม่กลายเป็นรายการเตี้ยอุ้มค่อมเอาหรือ?
ยิ่งหากจะพิจารณาตลาดดาวเทียมในปัจจุบันและแนวโน้มของอุตสาหกรรมดาวเทียมในตลาดโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ในสภาพ Decline จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แม้จะอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทเอกชนมืออาชีพมานับ 30 ปี ก็ยังหืดจับกับการทำตลาดนี้ที่นับวันจะ “สาละวันเตี้ยลง” การดึงไทยคมกลับมาซุกปักรัฐวิสาหกิจจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัว สามารถดำรงสถานการณ์แข่งขันอันดุเดือดเลือดพล่านได้หรือ?
ระวังหลุมพราง..ทำรัฐบักโกรก 9 พันล้าน
แหล่งข่าวในแวดงวงโทรคมนาคมและดาวเทียม ออกมาตั้งข้อสังเกตุดีลประวัติศาสตร์สุดพิสดารพักลึกในครั้งนี้หากท้ายที่สุดทำให้บริษัท กสท.ต้องขาดทุนบักโกรก ก็ให้น่าสงสัยผู้ที่มีส่วนในการชงข้อเสนอสุดอัปยศครั้งนี้ จะรับผิดชอบด้วยหรือไม่ หรืออย่างไร
“แม้ไทยคมต้องการผู้ถือหุ้นและมืออาชีพเข้ามาขับเคลื่อนเพื่อ Challenge กิจการและเดินหน้าไปสู่ Next Generation แต่การได้ผู้ถือหุ้นอย่างกิจการรัฐวิสาหกิจ CAT เข้าไปแปรสภาพไทยคมไปเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบสังคมและผู้ถือหุ้นทั้งของไทยคมและแคทว่า จะทำให้ธุรกิจดาวเทียมภายใต้บริบทของความเป็นรัฐวิสาหกิจนี้เดินหน้าไปได้อย่างไร”
แหล่งข่าวยังเผยว่าด้วย ที่จริงก่อนหน้านี้ ผู้บริหารไทยคมเองมีการนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานปี 2564 ขณะที่อายุของดาวเทียมไทยคงยังมีอยู่ จากการใช้เทคโนโลยีโดรนเข้าไปเสริมศักยภาพของเชื้อเพลิงให้สามารถขับเคลื่อนและใช้งานต่อไปได้อีก 4-5 ปี
โดยแนวทางที่มีการนำเสนอไว้นั้น จะเป็นไปในรูปของการร่วมลงทุนระหว่างแคทและไทยคม เพื่อบริหารทรัพย์สินสัมปทานร่วมกัน โดยได้พยายามนำเสนอต่อภาครัฐและกระทรวงดีอีมาหลายต่อหลายครั้ง โดยดร.ดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ อดีตประธานและผู้บริหารไทยคมที่ได้ชื่อว่า เป็นลูกหม้อและสัญลักษณ์ของไทยคมโดยตรง และพันธมิตร ได้เสนอขอซื้อหุ้นใหญ่จากบริษัทอินทัช ใน เพราะยังเชื่อในศักยภาพของไทยคมว่ายังสามารถจะไปต่อได้
แต่ดีลดังกล่าวกลับถูกอดีตผู้บริหารบริษัทพลังงานแห่งชาติบอกปัดไม่ยอมนำเสนอบอร์ดขอความเห็นชอบ ด้วยอ้างว่า อดีตผู้บริหารไทยคมดังกล่าวเป็นคนของนายกฯทักษิณ ชินวัตร และเกรงว่าหากนำเสนอแนวทางขึ้น/ไปยังคณะรัฐมนตรีที่จะต้องผ่านความเห็นชขอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ก่อน คงยากจะฝ่าด่านดังกล่าวได้
ก่อนที่อดีตผู้บริหารบริษัทพลังงานรายนี้ที่ถือเป็นมือฉมังด้านการควบรวมกิจการ(M&A) จะเสนอโมเดลสุดพิสดาร โดยดึงเอาบริษัทล็อบบี้ยิสต์มืออาชีพ สอดมือเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการเคลียร์หน้าเสื่อกับผู้มีอำนาจใน คสช.ให้ในทุกกรณี เพื่อแลกกับค่าต๋ง ในการปิดดีลพิเศษนี้
โดยไม่มีการพูดถึง อนาคตของธุรกิจไทยคมจะเดินไปอย่างไร ภายใต้บังเหียนขอองบริษัทรัฐวิสาหกิจ กสท.ที่แม้กิจการหลักของตนเองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด