เข้าหน้าร้อนแบบนี้จะทำอะไรดี?
คำตอบคือ..วางแผนเพื่อเตรียมการปลูกต้นไม้กันดีกว่าครับ จะรอให้เข้าหน้าฝนแล้วค่อยเริ่มอาจจะสายไป เพราะเมื่อฝนตกการปรับพื้นที่หรือขุดบ่อน้ำจะทำได้ยากลำบาก เฉอะแฉะยุ่งยาก ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะศึกษาหาข้อมูลทั้งเรื่องพันธุ์ไม้ การดูแลรักษา ระบบจัดการน้ำ พร้อมดำเนินการเตรียมการลงกล้าไม้เพื่อรับฝนที่กำลังจะมา วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เคยเห็นไหมครับพวกที่ทำโครงการปลูกป่าทั้งหลาย แห่กันไปปลูกถ่ายรูปลงสื่อ แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ขาดการดูแล เหลือรอดสักกี่ต้น มีใครไปติดตามผลบ้างไหมครับ ก็แค่เน้นสร้างภาพประชาสัมพันธ์ ไม่ได้เน้นผลเพิ่มพื้นที่ป่ากันอย่างจริงจัง
ครับ…มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า การคิดจะปลูกไม้สักต้น ต้องรู้จักธรรมชาติของต้นไม้ชนิดนั้นก่อน เช่น ชอบแสงมากหรือน้อย พุ่มขนาดใหญ่แค่ไหนจะได้คำนวณระยะห่างได้ถูก ชอบน้ำน้อยหรือมาก บางชนิดชอบน้ำน้อยรดน้ำแฉะไปก็ไม่โตหรือรากเน่าตายไปเลย เสียทั้งเวลา โอกาสและเงินที่ลงทุนไป ดังนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าอยากปลูกอะไรก็ทิ่มๆลงดินไปเดี๋ยวก็โตเอง แล้วไปวาดฝันนอนรออนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าจะเป็นเศรษฐีมีเงิน รับรองฝันค้างแน่ๆ
เมื่อศึกษาและรู้จักต้นไม้มากพอแล้ว ก็มาดูสภาพพื้นที่ของตัวเองว่า ดินของตัวเองว่าเหมาะหรือไม่ ต้องมีแหล่งน้ำเพิ่มไหม หรือต้องปรับพื้นที่และสภาพดินอย่างไรให้เหมาะสม
ส่วนเรื่องกล้าไม้ที่จะเอาไปปลูกนั้น มีอยู่ 3 ทาง คือ เพาะกล้าเอง สั่งซื้อกล้าจากคนที่เพาะกล้าขาย และขอรับไม้จากศูนย์เพาะชำกล้าไม้ ของกรมป่าไม้ ส่วนนี้เขาจะได้รับงบประมาณมาสนับสนุนทุกปี เพาะกล้าไม้แจกฟรี และปีนี้ผมลองเข้าไปดูแล้วเขาเตรียมแจกกล้าไม้ในเดือนมิ.ย.นี้
การขอรับกล้าไม้ฟรีก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ใช้เพียงแค่นำบัตรประชาชนไปยื่นพร้อมแบบฟอร์มคำขอที่ศูนย์เพาะชำกล้าไม้แต่ละแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประชาชนทั่วไปจะรับกล้าไม้ได้คนละไม่เกิน 1,500 ต้น/ปี แต่หากมีโครงการปลูกต้นไม้ที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าและมีพื้นที่เป้าหมายชัดเจน สามารถขอรับกล้าไม้ได้มากกว่านั้น แต่ต้องเตรียมหนังสือรายละเอียดโครงการพร้อมหลักฐานประกอบแนบคำขอ
ส่วนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชนทั่วไป ศาสนสถานขอได้หน่วยงานละไม่เกิน 10,000 ต้น/ปี แต่หากมีโครงการปลูกต้นไม้ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการค้าสามารถขอรับกล้าไม้ได้มากกว่ารายละ10,000 ต้น/ปี โดยให้ยื่นหนังสือแสดงโครงการพร้อมหลักฐานประกอบแนบคำขอเช่นกัน
ส่วนจะติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ที่ไหนบ้าง ดูรายละเอียดตามตารางได้เลยครับพร้อมเบอร์ติดต่อ โทรไปถามไถ่กันก่อนว่ามีชนิดกล้าไม้ที่ตนเองต้องการหรือไม่
รีบติดต่อกันเสียแต่เนิ่นๆ นะครับ เพราะปีนี้มีกฎหมายให้ปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองแล้วตัดขายได้ออกมามีผลตั้งแต่ 1มี.ค.นี้ ขณะที่กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.2563 นั้น หากปล่อยที่ดินให้รกร้างว่างเปล่าจะเสียภาษีโดยเพิ่ม 0.3% ในทุกๆ 3 ปีเพดานสูงสุดไม่เกิน 3% ขณะที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเสียภาษีตามมูลค่า ตั้งแต่ 0.01%-0.1% โดยบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีที่ 50 ล้านบาทแรก
ดังนั้นเชื่อขนมกินได้เลยว่า ปีนี้ความต้องการกล้าไม้จะมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลาย ต้องหันมาลงกล้าไม้กันมากขึ้น ทำที่ดินว่างเปล่าให้เป็นที่ดินเพื่อการเกษตร เพื่อจะเสียภาษีต่ำลง ยิ่งเป็นกล้าฟรีด้วยยิ่งต้องบริหารจัดการให้ยุติธรรม ไม่เช่นนั้นอาจจะมีดราม่าแพร่กระจายในโลกโซเชียลให้เป็นที่เสื่อมเสียกับหน่วยราชการอีก
โดย..นายต้นไม้