จะเพราะ “คำขู่” ที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี “เดินสาย” ตอกย้ำแก่บรรดาข้าราชการประจำในทุกกระทรวงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง “กระทรวงเศรษฐกิจหลัก” ที่คุมงานด้านการเงินผ่านธนาคารของรัฐ และธนาคารที่รัฐถือหุ้นใหญ่ อีกทั้งยังดูแลงานนโยบายด้านการคลัง “โฟกัส” ไปที่การหารายได้จากการจัดเก็บภาษีให้กับรัฐบาล หรือ “กรมภาษี” ในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง
ทำนอง...ถึงอย่างไร? “คนไทยต้องได้...นายกฯ คนใหม่ ที่ชื่อ ลุงตู่” อีกครั้งอย่างแน่นอน
เพราะ “คำขู่” ข้างต้นหรือเปล่า? ถึงทำให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงการคลัง จำต้องงัดแผนเด็ดมา “แก้เผ็ด” หลังจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคแกนนำรัฐบาลที่ประกาศนโยบาย “อภิมหาประชานิยมสุดลิ่มทิ่มประตู” สรุปสั้นๆ คือ...ผลาญงบประมาณแผ่นดิน เพื่อ “ซื้อใจคนไทย”
ล่าสุด กรมสรรพากร เพิ่งจัดประชุม/สัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร กลางปีงบประมาณ 2562 ณ ร.ร.เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มิ.ย.62
สาระสำคัญของเวทีดังกล่าว คือ การประกาศเจตนารมณ์ต่อการนำพาองค์กรและบุคลากร ก้าวไปสู่ความเป็น “กรมสรรพากรคุณธรรม” สะท้อนความเป็น “อัตลักษณ์” หรือตัวตนที่แท้จริงของกรมสรรพากรยุคใหม่
งานนี้ “คนนำประกาศฯ” อย่าง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมสรรพากรอีกกว่า 200 ชีวิต ที่เดินทางมาจากส่วนกลาง และจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย คงมีอะไรลึกๆ ซ่อนอยู่ ระหว่างที่ฝ่ายการเมือง ยังคง “มะรุมมะตุ้ม” อยู่กับการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรียามนี้
“สกัดใบสั่ง” นี่คือ...อะไรลึกๆ ที่ซ่อนอยู่กับการประกาศเจตนารมณ์ความเป็น “กรมสรรพากรคุณธรรม” ใช่หรือไม่?
ลองไปดูนิยามข้างต้นกัน...โดย ดร.เอกนิติ ระบุว่า ผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วประเทศ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ด้วย “อัตลักษณ์” แห่งความเป็น HAS
H คือ Honesty หรือ ความซื่อสัตย์ มุ่งเน้นการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และรักษาประโยชน์ส่วนรวม ไม่เรียกรับผลประโยชน์ใดๆ หรือรับจ้างจากผู้เสียภาษีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
A คือ : Accountability หรือ รับผิดชอบ ที่จะต้องใส่ความมุ่งมั่น ทุ่มเท กำกับงานที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ คอยให้คำปรึกษาที่ดีแก่ลูกน้อง และไม่ปัดความรับผิดชอบ
ส่วน S คือ Service mind หรือ มอบใจบริการ ที่คนสรรพากรทุกคน จะต้องให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาติดต่อ หรือขอรับบริการจากกรมสรรพากร
ดร.เอกนิติ ย้ำว่า การจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักรในครั้งนี้ นอกจากจะมีการมอบนโยบายให้ผู้บริหารกรมสรรพากรแล้ว ยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชน มาถ่ายทอดประสบการณ์การขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม แลกเปลี่ยนประสบการณ์การนำ Digital Transformation และ Data Analytics & AI รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่อง Smart Office Smart People เพื่อจุดประกายความคิดให้กับบุคลากรของสรรพากรให้สามารถดำเนินการยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมและการบริการประชาชนที่ทันสมัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นกรมสรรพากรดิจิทัลอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่นั้น กรมสรรพากรยังจะเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Value และ Efficiency) ผ่านคณะผู้บริหาร ด้วยหวังจะนำระบบดิจิทัล ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และนวัตกรรมใหม่ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรอย่างเข้มข้น
ที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ดำเนินโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ D2RIVE ที่สำคัญ อาทิ การเชื่อมโยงข้อมูลค่าลดหย่อนภาษีกับหน่วยงานต่างๆ เช่น เบี้ยประกันสุขภาพ เงินสะสม กบข. และหน่วยรับบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-donation เพื่อให้ผู้เสียภาษีสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ด้วยตัวเองผ่านระบบ My Tax Account
นอกจากนี้ ยังเร่งพัฒนา Application RD Smart Tax และเปิดระบบ Open API เพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา Application ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงนำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มาพัฒนาเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงของผู้เสียภาษี (Risk Based Audit)
ผลของการเดินหน้าไปแล้วในบางโครงการ ส่งผลให้กรมสรรพากรสามารถยกระดับการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร จนช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตุ.ค.61 – พ.ค.62) สามารถเก็บภาษีได้ถึง 1.22 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณถึง 38,015 ล้านบาท แม้ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 4 เดือน อาจหลุดเป้าไปบ้าง เพราะเหตุจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และต่างประเทศ (สงครามการค้า) ที่ไม่สู้จะดีนัก กระนั้น เขายังมั่นใจว่า กับเป้าหมายจัดเก็บรายได้ในปี 2562 ราว 2 ล้านล้านบาท ก็น่าจะเข้าเป้า ส่วนปีหน้าที่ถูกบีบให้ต้องจัดเก็บรายได้ 2.1-2.2 ล้านล้านบาทนั้น ค่อยไปว่ากันใหม่
แต่นั้น ยังไม่โชคร้ายเท่ากับ “คำขอที่มาพร้อมกับคำขู่” ทำนอง...รัฐบาลใหม่ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์และยอมรับของคนไทย นั่นจึงนำสู่นโยบายหาเสียงตามสไตล์ “สารพัดพลังประชารัฐ”
แค่นำร่องเรียกน้ำจิ้ม...ที่พรรคพลังประชารัฐ ประกาศสัญญาประชาคมเอาไว้ กระทั่ง แพร่กระจายอยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ก็มีมากมาย ดังนี้
บัตรคนจน แจกค่าเช่าบ้าน 400 บาท/เดือน, แจกเบี้ยยังชีพ 100 บาท/เดือน, แจกค่าน้ำ 100 บาท/เดือน, แจกค่าไฟ 230 บาท/เดือน, ค่าเดินทางรักษาพยาบาล 1,000 บาท/เดือน, แจกเงินค่าสัมนา 100 บาท/คน , แจกเบี้ยคนพิการเพิ่ม 200 บาท/เดือน, เพิ่มวงเงินร้านค้าประชารัฐเป็น 500 บาท/เดือน, แจกเงินค่าเปิดเทอม 500บาท/บุตร 1คน, เกษตรกรได้เงินฟรี 1000บาท
การปรับค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท/วัน , เงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาท/เดือน, อาชีวะ18,000 บาท/เดือน, การแจกเบี้ยคนชรา เดือนละ 1,000 บาท, แจกเงินชาวนา 70,000 บาท (ไร่ละ 3,500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่), แจกเงินคุณแม่ตั้งท้อง เดือนละ 3,000 บาท ไม่รวมจ่ายค่าทำคลอดอีก 10,000 บาท, แจกเงินค่าเลี้ยงดูเด็กอายุต่ำกว่า6 ขวบ อีกเดือนละ 2,000 บาท
นี่ยังไม่นับรวม มหกรรม...ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10%, ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปี และยกเว้นภาษีเด็กจบใหม่ เอาไปเลย 5 ปีเต็ม แล้วยังจะมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนกำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, สารวัตรกำนัน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, แพทย์ประจำตำบล ฯลฯ
รวมถึงการประกันราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน, ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน, อ้อย 1,000 บาท/ตัน, ยางพารา 65 บาท/กิโลกรัม, มันสำปะหลัง 3บาท/กิโลกรัม, ปาล์ม 5 บาท/กิโลกรัม
บลาๆๆๆๆ..............
เห็นหรือยังว่า...หากทำทุกนโยบาย ทุกมาตรการตามที่พรรคแกนนำรัฐบาลหาเสียงและทำสัญญาประชาคมเอาไว้กับคนไทย รัฐบาลใหม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเท่าไหร่? ถึงจะพอ???
ก็อย่าแปลกใจ! หากกรมสรรพากร ซึ่งถือเป็น “หน่วยงานหลัก” รับหน้าที่จัดเก็บภาษี เพื่อนำมาเป็นรายได้เข้ารัฐ และจัดทำงบประมาณแผ่นดินราว 2 ล้านล้านบาทในปี 2562 นี้ (ปี 2563 น่าจะอยู่ระหว่าง 2.1-2.2 ล้านล้านบาท) จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ “สกัดกั้น-ใบสั่ง” จากฝ่ายการเมือง
เพราะไม่ว่าใครจะมานั่งเก้าอี้ “รมว.คลัง-คนใหม่” จะเป็น นายอุตตม เสาวนายน หน.พลังประชารัฐ หรือใครก็ตาม ทุกคนล้วนเป็น “คนในคอก” ของ ดร.สมคิด ว่าที่รองนายกฯ ของ “รัฐบาลลุงตู่ภาค 2” ทั้งสิ้น
และทุกคน ก็ต้องทำตาม “ใบสั่ง” ของ หน.ทีมเศรษฐกิจ และส่งต่อ “ใบสั่ง” ไปยังข้าราชการประจำอีกทอดหนึ่ง
สำหรับกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะกรมสรรพากร เห็นได้ชัดว่า...การประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่ความเป็น “กรมสรรพากรคุณธรรม” พร้อมกับ “งัด” สุดยอด “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ผ่านโครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE ที่สำคัญ เช่น การเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมจัดทำระบบการเสียอากรแสตมป์สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาระบบการออกใบกำกับภาษี/ใบเสร็จภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-tax invoice/e- receipt) การนำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาตรวจจับพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีอากร (tax fraud) และเครือข่ายใบกำกับภาษีปลอม และการจัดตั้ง Tax Innovation Lab เพื่อศึกษาการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการให้บริการผู้เสียภาษี ฯลฯ
ทั้งหมดก็เพื่อ “บล็อก-ใบสั่ง” จากฝ่ายการเมืองนั่นเอง
หากยังจำกันได้ ช่วงก่อนหน้าเลือกตั้งไม่นาน เป็น...นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็น “เบอร์ 1” ในซีกข้าราชการประจำของกระทรวงแห่งนี้ ออกมาบอกผ่านสื่อถึงพรรคการเมืองต่างๆ ว่า...ไม่ว่าพรรคไหนจะหาเสียง “โคตรประชานิยม” ขนาดไหน?
ทว่ากระทรวงการคลัง ก็มีงบประมาณให้ได้เพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
ลำพังเม็ดเงินแค่นี้ หากเทียบกับสารพัดโครงการ “อภิมหาประชานิยมสุดลิ่มทิ่มประตู” แล้ว เชื่อขนมกินได้เลย...ไม่พอเพียงอย่างแน่นอน
แล้วหากข้าราชการประจำ “ขัดใจ” ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะจากซีกแกนนำรัฐบาลด้วยแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นตามมา? คงคาดเดากันไม่ยาก!!!
แต่ที่แน่ๆ “รัฐบาลลุงตู่ภาค 2” จะไร้...ฐานรากความเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” และประกาศ คสช. “มาตรา 44” ในมือ...
ฉะนั้น การจะสั่ง “ปรับ-ลด-ปลด-ย้าย” ตามอำเภอใจ เหมือนเช่นที่ “รัฐบาลลุงตู่ ณ คสช.” เคยกระทำกันมา คงทำไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว
สำหรับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” แล้ว มองการเดินเกมของข้าราชประจำ ภายใต้การนำของ ปลัดฯประสงค์ และอธิบดีฯเอกนิติ รอบนี้...ถือว่า “คมในฝัก” เลยทีเดียว!!!
นักการเมืองขี้ข้าเผด็จการหน้าไหน? หากเล่นแบบไม่ดู “ตาม้าตาเรือ” มีหวัง...กระอักเลือด! เพราะพิษบาดแผล “รังแกข้าราชการ” ก็อาจเป็นได้!!!.
โดย..กากบาทดำ