ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวชิ้นเล็กบ้าง ใหญ่บ้างในหลายสื่อนำเสนอความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้งอยู่ในขณะนี้ ซึ่งพบว่ากระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นที่จ.พิจิตร มีชาวนาเรียกร้องให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือดูแลนาข้าวจำนวนนับหมื่นไร่ที่ต้นข้าวกำลังจะขาดน้ำแห้งตาย (ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/29995)
ขณะที่ จ.ขอนแก่น ผู้ว่าราชการจังหวัดออกมาระบุว่า ภัยแล้งปีนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี (ขอบคุณข้อมูลจาก https://mgronline.com/uptodate/detail/9620000019954) ที่ จ.จันทบุรีก็พบว่าภัยแล้งมาเร็วหลังฝนทิ้งช่วงสร้างผลกระทบต่อสวนผลไม้(ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.innnews.co.th/regional-news/news_330058/)
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียด ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ชาวบ้านรู้สึกกันไปเอง โดยจากสถิติที่ “ลูกชาวนา” ไปสืบค้นมาพบว่า ภัยแล้งปี2562 นี้ มีความรุนแรงระดับน้องๆปี2558 และบางพื้นที่อาจจะรุนแรงมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งในช่วงปี 2558 นั้นภัยแล้งได้คุกคามสร้างผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตร จนเป็นตัวฉุดให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2558 ขยายตัวได้เพียง 2.8% โดยสาขาเกษตรกรรมติดลบ 4.2% รายได้เกษตรกรในปีนั้นลดลง 8.8%
เรามาลองดูตัวเลขปริมาตรน้ำกัน จากสถิติพบว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ปริมาตรน้ำต้นทุนในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ที่สามารถใช้การได้สำหรับหน้าแล้งปี 2562 มีจํานวน 37,425 ล้านลูกบาศก์เมตร (ข้อมูลจาก http://water.rid.go.th/flood/flood/day01112018.pdf)
เทียบกับปีที่ผ่านมาช่วงเวลาเดียวกัน ปีนี้มีปริมาตรน้ำใช้การน้อยกว่า 2,920 ล้านลูกบาศก์เมตร โดย ณ วันที่ 1พฤศจิกายน 2560 มีปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่สำหรับใช้บริหารจัดการหน้าแล้งในปีที่ผ่านมาจำนวน 40,345 ล้านลูกบาศก์เมตร (ข้อมูลจาก http://water.rid.go.th/flood/flood/day01112017.pdf)
ขณะที่เทียบกับสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2558 พบว่า ในปีนั้นมีน้ำใช้การได้ในเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 อยู่ 24,526 ล้านลูกบาศก์เมตร (ข้อมูลจาก http://water.rid.go.th/flood/flood/day01112014.pdf) ซึ่งน้อยกว่าในปีนี้ 12,899 ล้านลูกบาศก์เมตร
ล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาพบว่า เหลือปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางอยู่ที่ 26,896 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 4,670 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่วิกฤติหนักจำนวน 6,693 ล้านลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตามในแต่ละปี ระดับความวิกฤติรุนแรงของภัยแล้งก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ล่าสุดพบว่าเขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำใช้การได้เหลืออยู่แค่ 6% วิกฤติรองลงมาคือเขื่อนกระเสียว 10% และเขื่อนทับเสลา 14% ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่เช่นเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 41% เขื่อนสิริกิติ์ 48% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 38%
คลังข้อมูลน้ำและอวกาศแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน)ระบุว่าระหว่างปี 2551-2560 ประเทศไทยมีฝนตกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 785,644 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ในจำนวนนี้ไหลลงเขื่อนขนาดใหญ่กักเก็บไว้ได้ 42,865 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 5.5% ของประมาณฝนที่ตกลงมาบนผืนแผ่นดินไทย จากความจุเขื่อนทั้งหมด 70,867 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 60%ของความจุเขื่อน
นั่นเท่ากับว่าฝน 100 เม็ดที่ตกลงมา ประเทศไทยเก็บไว้ได้เพียง 5 เม็ดครึ่งเท่านั้น ที่เหลือซึมลงดินและไหลลงทะเลไป สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่สามารถสร้างเครื่องมือมาบริหารจัดการน้ำได้ดีพอ
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาภัยแล้งจากภาครัฐก็ยังอยู่ในวังวนและวิธีคิดแบบเดิมๆ คือ ขอความร่วมมืองดทำนาปรัง แนะเกษตรกรหันมาปลูกพืชไร่-พืชผักที่ใช้น้ำน้อย ตามแผนปีนี้จะจำกัดพื้นที่ทำนาปรังให้อยู่ที่ 8.03 ล้านไร่ จนถึงขณะนี้ทะลุไปแล้ว 8.08 ล้านไร่ สิ้นสุดแผนไม่แน่ใจว่าจะพุ่งไปอีกเท่าไหร่ ส่วนพืชไร่-พืชผักใช้น้ำน้อยตั้งเป้าตามแผนไว้ที่ 2.43 ล้านไร่ ทำได้จริงขณะนี้อยู่ที่ 0.51 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 21.05%ของแผนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเรายังเห็นโครงการประเภทขุดลอกบึงขนาดใหญ่ ของบประมาณเข้ามาทุกปี โดยอ้างว่าเป็นโครงการต่อเนื่อง ส่วนโครงการประเภทใช้งบประมาณไปขุดบ่อให้ฟรี ก็ไม่สนใจว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่ บางครั้งผู้รับเหมาก็ไปขุดในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้ใช้ประโยชน์ปล่อยเป็นบ่อร้างไปก็มี หรือบางแห่งขุดเสร็จแล้วกักเก็บน้ำไม่ได้ เพราะนี่คืองบหลวงที่ขาดการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน
จากบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยที่ไม่ไปถึงไหน ทั้งที่เป็นเมืองเกษตรกรรมขนานแท้ ก็เพราะไม่เปลี่ยนวิธีคิด ที่ไม่เปลี่ยนวิธีคิดก็เพราะยังยึดติดอยู่กับผลประโยชน์เดิมๆ ละเลงงบประมาณไปกับโครงการที่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นพวกพ้องใกล้ชิดผู้มีอำนาจนอนตีพุงรอรับงบประมาณทุกปี
ลองหันไปดูประเทศอื่นที่แม้ว่าทรัพยากรจะไม่เพียบพร้อมเหมือนไทย แต่มีวิธีบริหารจัดการที่เอาจริงเอาจังและมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นให้ได้ ตอนนี้เขาแซงหน้าเราไปหมดแล้วและไปไกลเสียด้วย ส่วนประเทศไทยยังสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วมซ้ำซากอยู่แบบนี้ทุกปีไม่ไปถึงไหน เผลอๆ จะเดินถอยหลังเอาเสียด้วยซ้ำ
โดย..ลูกชาวนา