หลังจาก “สำนักข่าว เนตรทิพย์ ออนไลน์” ร่ายยาวในรายงานพิเศษ ”มหากาพย์หนี้กรุงไทย” ที่ขึ้นต้นด้วยลำไม้ไผ่แค่การอนุมัติเงินกู้เพื่อ "รีไฟแนนซ์" ที่ดินทำเลทอง 4,300 ไร่ มูลค่ากว่า 9,300 ล้านของธนาคารกรุงไทยให้แก่กลุ่มบริษัทในเครือ กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC ในอดีต ที่กลายมาเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกลากเข้าสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาเมื่อปลายปี 2558 ให้จำคุกอดีตประธานและกรรมการ (บอร์ด) ตลอดจนผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และเจ้าหน้าที่สินเชื่อรวมไปถึงผู้บริหารบริษัทเอกชนถึง 27 ราย คนละตั้งแต่ 12-18 ปี ฐานทุจริตปล่อยกู้ และร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของสังคม เหตุใดการปล่อยเงินกู้รีไฟแนนซ์ ที่หากเป็นการรีไฟแนนซ์ไปยังแบงก์พาณิชย์อื่นๆ แล้ว หากท้ายที่สุดลูกหนี้เกิดเบี้ยวหนี้ไม่ชำระเงินกู้ดังกล่าวคืน แบงก์ในฐานะเจ้าหนี้ก็คงได้แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้เท่านั้น
แต่กับกรณีปล่อยกู้รีไฟแนนซ์ของกรุงไทยที่ให้แก่กลุ่มบริษัทในเครือกฤษดามหานครครั้งนี้ กลับถูกลากเข้าสู่การพิจารณาตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง..
ด้วยเหตุผลเพียงข้ออ้างของกรรมการ (บอร์ด) ธนาคารคนหนึ่งที่ไปให้การในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่ามี “นายใหญ่” จากแดนไกลเป็นผู้สั่งการ และแม้ในท้ายที่สุดศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาไม่อาจจะระบุได้ว่า “นายใหญ่ที่ว่านั้นคือผู้ใด มีตัวตนอยู่หรือไม่ และได้เข้ามาแทรกแซงกระบวนการปล่อยหรือพิจารณาสินเชื่อในชั้นใด”
แต่คดีความดังกล่าว ก็กลับถูกขับเคลื่อนพิจารณาตัดสินโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ดี
ที่สำคัญเหตุใด 2 ใน 5 กรรมการธนาคารกรุงไทยฯที่ร่วมอนุมัติเงินกู้ในครั้งนั้น ถึงไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เอง ก็ระบุว่า มีส่วนร่วมในการกระทำผิด แถม 1 ใน 2 กรรมการบอร์ดดังกล่าว ยังได้รับการปูนบำเหน็จให้ไดดิบได้ดี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และยังก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้า "พรรคพลังดูด" ที่มีส่วนขับเคลื่อนการสืบทอดอำนาจของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันด้วยอีก
ล่าสุด นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และแกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักษาชาติ ก็ออกโรงแฉเอกสารลับการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กรุงไทย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ในคราวนัดประชุมเพื่ออนุมัติเงินกู้อื้อฉาวก้อนนั้นให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานคร
โดยระบุว่า 2 ใน 5 กรรมการกรุงไทยที่ร่วมลงชื่ออนุมัติเงินกู้ในครั้งมี นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรวมอยู่ด้วย ถือว่ามีส่วนพัวพันการทุจริต แต่กลับเป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้าตัวกลับไม่ถูกดำเนินคดี ทั้งที่บอร์ดคนอื่นๆ ต่างถูกศาลพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่ 12-18 ปี จึงต้องการให้นายอุตตมที่มีรายชื่อเป็น “แคนดิเดท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงให้สังคมเกิดความกระจ่าง (อ้างอิงจาก Facebook นายพิชัย นริพทะพันธุ์ https://www.facebook.com/1750708378/posts/10205867686888587?s=1383064348&sfns=mo)
ขณะที่ดิน 4,300 ไร่เจ้าปัญหาก็เกิดประเด็นสุดดราม่าขึ้นมา เมื่อวันดีคืนดี สำนักงานบังคับคดี จังหวัดสมุทรปราการ และธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้ได้นำที่ดินค้ำประกันมูลหนี้อื้อฉาวดังกล่าว ออกประมูลขายทอดตลาด แม้จะได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากอดีตผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นเครือกฤษดามหานครเดิมอย่างหนัก ด้วยเห็นว่า เป็นขบวนการขายทอดตลาดที่ดินทำเลทอง ที่ทำให้ผู้ถือหุ้นและเจ้าของเดิมเสียประโยชน์อย่างหนัก
เนื่องจากที่ดินทำเลทองเนื้อที่กว่า 43,00 ไร่ ที่ถือเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายย่านสุวรรณภูมิและเป็นประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่ควรจะมีราคาค่างวดถึงไร่ละ 5-10 หรือ 20 ล้านบาทขึ้นไป เพราะเมื่อครั้งที่ที่ดิน 215 แปลง 4,300 ไร่เศษนี้ จดจำนองอยู่กับแบงก์กรุงเทพ ก่อนรีไฟแนนซ์มายังธนาคารากรุงไทยนั้น
ได้มีการนำบริษัทที่ปรึกษาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนถึง 2 บริษัทเข้ามาประเมินและยืนยันว่า มีราคาประเมินไม่ต่ำกว่า ตร.วา ละ 12,000 บาท หรือตกไร่ละกว่า 4.8-5 ล้านบาท (ราคาเมื่อปี 2543-44) หรือมีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันขณะพิจารณาอนุมัติเงินกู้อื้อฉาวก้อนที่สูงถึง 14,400 ล้านบาท แต่กลับถูกนำออกประมูลขายทอดตลาดออกไปล่าสุดเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมากว่า 20 ปีในราคาต่ำติดดินเฉลี่ยเพียงไร่ละ 2 ล้านบาทเท่านั้น สวนกับทิศทางราคาที่ดินที่ควรจะทะลักขึ้นไปเป็นไร่ละ 10-20 ล้านบาท
ก่อนที่บริษัท ทีเออาร์ แลนด์ จำกัด บริษัทร่วมทุนของกลุ่ม “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จะเป็นผู้ชนะประมูลไปในราคาเพียง 8,914 ล้านบาทเท่านั้น
แม้ที่ผ่านมาทางบริษัทครอบครัวกฤษดามหานคร และลูกหนี้รายอื่นจะออกโรงยื่นคัดค้านต่อศาลแพ่งถึงความไม่ชอบมาพากลในการมุบมิบขายทอดตลาดที่ไม่เพียงจะทำให้ผู้ถือหุ้น และลูกหนี้ สูญเสียประโยชน์ ยังทำให้เจ้าหนี้ธนาคารกรุงไทยฯ เอง ก็พลอยสูญเสียประโยชน์ไปด้วย (รายละเอียดใน มหากาพย์กรุงไทย (ภาค 2)…ลับ ลวง พราง ขบวนการ(ปาหี่)ขายทอดตลาดทำเลทองสุวรรณภูมิ! : http://www.logisticstime.net/archives/13213)
แต่หลังจากสำนักงานบังคับคดี และธนาคารกรุงไทย เคาะโต๊ะอนุมัติการขายทอดตลาดทำเลทองฟืนสุดท้ายย่านสุวรรณภูมิออกไป กลุ่มบริษัทผู้ประมูลซื้อก็ยังคงไม่สามารถจัดทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวออกไปได้เนื่องจากติดขัดในเรื่องที่มีผู้ร้องสอด และร้องขอให้ศาลพิจารณาระงับการขายทอดตลาดที่ดินอื้อฉาวดังกล่าวออกไปก่อน
แต่ล่าสุดนั้น มีรายงานเพิ่มเติมสดๆ ร้อนๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ว่า ศาลแพ่งได้ยกคำร้องของบรรดาผู้ร้องคัดค้านการขายทอดตลาดที่ดินของบริษัท เอคิว เอสเตทฯ (AQ) หรือกลุ่มกฤษดามหานครเดิมทั้งหมด โดยระบุว่าผู้ร้องเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทบ้างหรือไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการบังคับคดีบ้าง หรือลูกหนี้ผู้ร้องไม่มีอำนาจในการร้องบ้างเนื่องจากถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย อำนาจในการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ร้องตกเป็นอำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ผู้บริหารกรุงไทยก็รีบตีปี๊บยืนยัน หลังจากศาลยกคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็เชื่อว่า ธนาคารจะได้รับการชำระหนี้ทั้งหมดภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์หนี้กรุงไทย
แต่จะเป็นการปิดฉากอย่างที่ฝ่ายบริหารกรุงไทยฯ ยืนยันเป็นมั่นเหมาะหรือไม่ สังคมก็ได้แต่เฝ้าติดตามต่อไปเท่านั้น เพราะกรณีการขายโล๊ะขายที่ดินทำเลทอง อันเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ ที่ธนาคารลงบันทึกเอาไว้แต่แรก หลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ก่อนนี้ ณ วันที่อนุมัติปล่อยกู้ออกไปเมื่อปี 2543-2544 นั้น มีมูลค่าสูงกว่า 14,400 ล้านบาท หรือ ตร.วาละกว่า 12,000-15,000 บาท
ผ่านมากว่า 20 ปี ที่ดินกว่า 4,300 ไร่ที่ถือเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดย่าน “สุวรรณภูมิ-บางนา-ตราด” แต่กลับมีการมุบมิบนำออกประมูลในราคาต่ำติดดินแค่ ตร.วาละ 5,000 บาท หรือตกไร่ละ 2 ล้านบาท ต่ำกว่าราคาที่ดินหลังเขา หรือที่ดินสุดแห้งแล้งแถบทุกุลาร้องไห้ และสวนทิศกับราคาที่ดินย่านนี้ที่ถือเป็นประตูหน้าด่านเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี
ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่เพียงจะเกิดแก่ลูกหนี้ และเจ้าหนี้แบงก์รัฐแห่งนี้เท่านั้น กระทรวงการคลังและประเทศชาติเองก็เสียหายจากเม็ดเงินค่าธรรมเนียม จดทะเบียน หรือจดจำนองทั้งหลายแหล่ และไม่ใช่แค่หลัก 10 หรือ 100 ล้านเท่านั้น แต่อาจจะเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาทขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ
และหากในอนาคตอันใกล้ มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลกันอีกระลอก ก็เชื่อแน่ว่าผู้ที่มีส่วนในการอนุมัติขายหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ออกไป ย่อมไม่อาจปัดภาระความรับผิดชอบไปได้
วันนั้น ”มหากาพย์หนี้กรุงไทย ภาค2” จะเปิดฉากขึ้น..!
หมายเหตุ : อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Special Report : ตราบาปมหากาพย์ ”หนี้กรุงไทย” คำถามคาใจจำเลยในคดีถึง ”เขาคนนั้น” : http://www.natethip.com/news.php?id=480