หลัง “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเฟซบุ๊ค พัฒนาโซเชี่ยมีเดีย ”Facebook:เฟซบุ๊ก” ให้คนใช้งานบนอินเทอร์เน็ตกว่าหนึ่งในสามของโลกหรือกว่า 2,000 ล้านคน จนร่ำรวยติดอันดับมหาเศรษฐีโลก
ล่าสุด ”ซักเคอร์เบิร์ก” เตรียมพัฒนาเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่ เฟซบุ๊กคอยน์ ชื่อสกุลเงิน “ลิบรา (Libra)” ขึ้นมาใช้บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งว่ากันว่า บล็อกเชนจะเป็นเทคโนโลยีในอนาคต ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากกว่าอินเทอร์เน็ต
งานนี้คนทั่วโลก โดยเฉพาะวงการสินทรัพย์ดิจิทัล จึงต้องติดตามใกล้ชิดว่า การพลิกโฉม หลังยักษ์โซเชี่ยลมีเดีย เฟซบุ๊ค จะออกเงินดิจิทัล ลิบรา ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน จะสร้างแรงเหวี่ยงขนาดไหน เพราะแค่ประกาศรายงานการนำเสนอหรือไวท์เปเปอร์ เชิญชวนใช้เงินดิจิทัลลิบรา เบื้องต้นยังทำให้คริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ เช่น บิตคอยน์ ริปเพิล ซีแคช ราคาขยับขึ้น ดังนั้น ถ้าตามแผนปีหน้า เมื่อลิบราออกใช้ น่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในอีกหลายๆ วงการ
ตามที่ผู้รู้บอกถึงผลกระทบของบล็อกเชนต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ในภาคอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่นักลงทุนน่าจะนำความรู้ไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ ผ่านหนังสือ Blockchain Revolution : How the Technology Behind Bitcoin is Changing Money, Business, and the World กับ The Business Blockchain: Promise, Practice and Application of the Next Internet Technology ว่าอุตสาหกรรมการเงินเดิม มีกฎระเบียบควบคุมอยู่มาก ทำให้อาจปรับตัวรับเทคโนโลยีใหม่ช้า ล้าสมัย มีโครงสร้างใกล้เคียงกับระบบผูกขาดจากโมเดลที่ใช้พัฒนาเมื่อหลายศตวรรษก่อน การจัดการระบบการเงินปัจจุบันจึงไร้ประสิทธิภาพ มีช่องให้บล็อกเชนดีสรัป
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการเงินส่วนใหญ่ นำบล็อกเชนไปใช้โดยไม่มีสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “เทคโนโลยีสมุดบัญชีแบบกระจาย“ (distribution ledger technology หรือ DLT) บริษัทพวกนี้จะเลือกบางส่วนของซอฟต์แวร์ที่ไปรันบนฮาร์ทแวร์ของตัวเอง ในเครือข่ายของตนเอง แบบเดียวกับอินทราเน็ต หรือที่เรียกกันว่าบล็อกเชนส่วนบุคคล ที่ต้องได้รับการอนุญาตการเข้าถึง ซึ่งโซลูชั่นนี้มองกันว่าจะเป็นโซลูชั่นชั่วคราว ถ้าจะมีประสิทธิภาพต้องใช้บล็อกเชน
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่วงการเงิน ยังเชื่อและออกมาเตือนว่า สุดท้ายเงินดิจิทัลพวกนี้จะต้องโดนหยุดยั้ง พร้อมทั้งส่วนมากจะป้องกันตนเองด้วยการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะบล็อกเชนจะทำให้สูญเสียรายได้บางส่วน ซึ่งสิ่งนี้รายใหญ่อาจต้องยอมรายได้หายไปบ้าง หากต้องการอยู่รอดในระยะยาว และจากกฎระเบียบที่มาก
ทำให้บริษัทการเงินระดับบิ๊กไม่อาจทำอะไรได้ เช่นเดียวกับหน่วยงานที่กำกับดูแลวงการเงินอย่าง ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ล่าสุดออกมาระบุว่าเฟซบุ๊กต้องมาชี้แจงก่อนออกเงินดิจิทัลมาใช้
ท่ามกลางข้อถกเถียงดังกล่าว ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลดูยังมีความเสี่ยง แต่เมื่อระดับยักษ์เฟซบุ๊กออกมา เปิดเกมรุกเงินดิจิทัล ลิบราจริงจังตามแผนปีหน้า นักลงทุนยุคใหม่ จึงควรศึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล ที่น่าจะช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้พอร์ตลงทุนบนความเสี่ยงที่รับได้ โดยตามรายงานไวท์เปเปอร์ลิบราจำนวน 12 หน้า
สรุปสาระออกมาว่า เงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่ “ลิบรา” มีแผนจะดันให้เป็น เงินสกุลของโลก เพื่อลดความยุ่งยากการทำธุรกรรมการเงิน ตัดตัวกลางออก หั่นค่าธรรมเนียมการโอนให้ต่ำ เพื่อคนกว่า 1,700 ล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมแต่มีมือถือใช้ได้มีโอกาส
ทั้งนี้ Libra จะถูกควบคุมดูโดย The Libra Association เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งมีสมาชิกร่วมก่อตั้ง 27 บริษัทที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้าน มีสิทธิออกเสียงรายละหนึ่งเสียงเท่ากันตามหลักคิดของบล็อกเชนที่ต้องการกระจายศูนย์อำนาจ (Decentralized) ลิบราเป็นเงินที่มีมูลค่าคงที่ ถูกค้ำจาก สินทรัพย์อ้างอิงที่มีอยู่จริงในอัตรา 1 ต่อ 1 ในลักษณะตะกร้าเงินในสกุลที่ได้รับการยอมรับ เช่น เงินเหรียญสหรัฐ เงินยูโร เงินหยวน เงินเยน เงินปอนด์
จุดเด่นของลิบรา คือ “ความผันผวนต่ำกว่าเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ เช่น บิตคอยน์ จึงอาจไม่เหมาะกับการเก็งกำไร แต่เหมาะจะใช้ เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ การซื้อสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ได้รับการยินยอมจากเฟซบุ๊ก”
อย่างบริษัทที่เข้าร่วมดันโครงการนี้ และมีการคาดกันว่าพนักงานในอีโคซีสเท็มของเฟซบุ๊ก จะได้รับค่าจ้างเป็นเงินสกุล ลิบรา ในไตรมาสแรกปี 2563 หรือปีหน้านี้
สำหรับคำว่า Libra ในอดีตคือหน่วยวัดน้ำหนักที่ใช้ในสมัยโรมันโบราณ ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้วหันไปใช้หน่วยปอนด์ มีสัญลักษณ์เป็นคลื่นสามชั้นซ้อนกัน
จากข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนยุคใหม่คงมองเห็นว่า เทคโนโลยีนี้น่าจะกระทบบริษัทโอนเงิน เช่นเวสเทิร์นยูเนียน แต่สตาร์ดอัพเกี่ยวกับคริปโตน่าจะมีโอกาสดีขึ้น รวมทั้งผลจากเงินที่โอนย้ายง่ายขึ้น ต้นทุนต่ำลง เงินจะไหลไปประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น จึงต้องศึกษาว่าภูมิประเทศไหนจะได้ประโยชน์สูง การจัดพอร์ตลงทุนต้องหลากหลายเชิงภูมิศาสตร์มากขึ้น
นี่เป็นเพียงเบื้องต้นในการปรับพอร์ตลงทุน รับเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่กำลังมีพลังในการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น หลังยักษ์เฟซบุ๊กจริงจังในการใช้ ถัดจากที่เฟซบุ๊กเคยโกยเงินมหาศาลในโซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งรู้พฤติกรรมผู้ใช้ที่ไปโพสต์ว่าชอบ หรือไม่ชอบ หรือกำลังหาอะไร
ลองคิดดูผู้ใช้เฟซบุ๊กที่มากถึง 1 ใน 3 ของคนบนโลก หรือกว่า 2,000 ล้านคน ทางเฟซบุ๊กรู้ว่ามีถึงกว่า 1,700 ล้านคนที่มีมือถือแต่ยังเข้าไม่ถึงบริการธนาคาร
ดังนั้น ถ้านักลงทุนยุคใหม่ บริหารสินทรัพย์ดิจิทัลให้ถูกจังหวะ รับรองเกาะกระแสมหาเศรษฐีซักเคอร์เบิร์ก เพิ่มความมั่งคั่งได้ด้วยแน่!
โดย-คนฝั่งธนฯ