สัปดาห์นี้เราจะเดินสู่ครึ่งทาง หรือครึ่งปีแรกของปี 2562 บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้นจากเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้า หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมา และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ท่ามกลางความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินบาทแข็งโป๊กในรอบ 6 ปี ที่ 30.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ
แถมยังเป็นสัปดาห์ที่จะมีเหตุการณ์สำคัญหลักๆ ที่นักลงทุนต้องติดตาม เพราะมิฉะนั้นอาจตกขบวนรถไฟแห่งโอกาส เริ่มที่เหตุการณ์ในประเทศ คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ และรายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนพฤษภาคม ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ด้านปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงการประชุม G20 (28-29 มิ.ย. 62) สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รวมถึงรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลเดือนพฤษภาคม
นอกจากนี้สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน เป็นเดือนที่ปิดงวดครึ่งปี ซึ่งนักลงทุนสถาบัน จะซื้อหุ้นเพื่อปิดงบครึ่งปี หรือที่เรียกว่า วินโดว์ เดรสซิ่ง (Window Dressing)
จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ในประเด็นของ ”วินโดว์ เดรสซิ่ง“ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส เปิดเผยสถิติ 5 ปีย้อนหลังว่า ช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี นักลงทุนสถาบันจะซื้อสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยถึงปีละ 1.09 หมื่นล้านบาท พร้อมคาดว่าหุ้นที่จะเป็นเป้าของนักลงทุนหนีไม่พ้นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET 50 ประกอบด้วย “PTT PTTEP BDMS BBL CPN BJC และ IRPC “
มาที่ ”หุ้นได้รับผลบวกจากเงินบาทที่แข็งค่า” ประกอบด้วย “กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มสายการบิน”
โดยกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่ จะมีภาระหนี้อยู่ในสกุลดอลลาร์ ซึ่งเงินบาท/ดอลลาร์ที่แข็งค่า ทำให้เงินต้นที่ต้องชำระดอกเบี้ยลดลง และมีโอกาสบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในงบกำไรขาดทุน
บล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้น PTTEP (ให้ราคาเป้าหมาย 166 บาท) จะได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีที่จะลดลง ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าจะทำให้ PTTEP จ่ายค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีลดลงราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กลุ่มสายการบิน มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60 % ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ต้นทุนลดลง แต่อย่างไรก็ตามจะถูกหักล้างจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ทรงตัวในระดับสูง และหุ้นในกลุ่มนี้เกือบทุกตัวแนะนำ (AAV, THAI) โดยหุ้น 2 ตัวนี้ให้ใช้กลยุทธ์สลับซื้อ-ขาย ยกเว้นเพียง BA ที่ยังแนะนำให้ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 16.7 บาท
สำหรับหุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า คือ TFG ให้ราคาเป้าหมาย 4.5 บาท มีการส่งออกไก่ไปต่างประเทศราว 22% ของรายได้รวม แต่ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง คือ มีการนำเข้ากากถั่วเหลืองราว 23%ของต้นทุนรวม โดยทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น จะทำให้ TFG มีกำไรเพิ่มราว 1% และเพิ่มมูลค่าหุ้นอีก 1.1 %
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้น นักวิเคราะห์เริ่มจะทยอยปรับเพิ่มเป้าดัชนีแล้ว เช่น บล.กสิกรไทย เตรียมปรับเพิ่มเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2562 จากเดิมที่ 1,725 จุด มาอยู่ที่ 1,800 จุด โดยให้น้ำหนักปัจจัยดอกเบี้ยโลกที่คาดว่าอยู่ในช่วงขาลง ซี่งจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดเกิดใหม่
ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดว่า หุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปซื้อขายที่ดัชนี 1,750-1,800 จุด หากผลการประชุม G20 มีผลลัพธ์ออกมาดี ซึ่งหมายถึง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจีน มีการเจรจาเรื่องข้อพิพาททางการค้า และะสามารถยุติการกีดกันทางการค้าไว้ได้
โดย ...ซิลลิ่ง