เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวที่สร้างความสนใจในวงการธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ ข่าวบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จากัด (Central Group) ได้เข้าไปซื้อหุ้นจำนวนมูลค่า 6,200 ล้านบาท ของบริษัท แกร็บประเทศไทย (Grab Thailand) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการการแข่งขันทางการค้า และมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกากับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติการแข่งขัน ทางการค้า พ.ศ. 2560
จึงอยากสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจได้ทราบว่า การซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งมีการประกาศหลักเกณฑ์ ไว้ชัดเจนว่ารวมธุรกิจอย่างไร จึงต้องขออนุญาตหรือต้องแจ้งให้ทราบ ผู้ประกอบธุรกิจจาเป็นต้องรับรู้ ทาความเข้าใจ และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครช่วยท่านได้
ผมจะพยายามเขียนให้กระชับเป็นลาดับขั้นตอน เพื่อให้ผู้อ่านได้ติดตามทาความเข้าใจได้ง่าย มิให้เกิดความซับซ้อนจนเกินไป
ขั้นตอนที่ 1 ต้องรู้เบื้องต้นว่าอย่างไรจึงจะถือเป็นการรวมธุรกิจตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ปัจจัยสาคัญที่ต้องพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า การเข้าซื้อหุ้นหรือซื้อสินทรัพย์ของธุรกิจอื่น หากมีเจตนา เพื่อควบคุมนโยบาย การบริหารธุรกิจหรือการจัดการ ให้ถือว่าเป็นการรวมธุรกิจ ซึ่งมีหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้
(1)กรณีซื้อหุ้น ถ้าเป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องเป็นการเข้าซื้อหุ้นตั้งแต่ ร้อยละ 25 ขึ้นไป ของจานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด แต่ถ้าเป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้พิจารณาจากการเข้าซื้อหุ้น ตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ของจานวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
(2)การซื้อสินทรัพย์ กำหนดให้ต้องเข้าซื้อสินทรัพย์ของธุรกิจอื่น ตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ของมูลค่าสินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจตามปกติทั้งหมด
สรุปก็คือ การเข้าซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ของธุรกิจอื่นเป็นเรื่องที่ต้องรู้เบื้องต้นว่า อยู่ในหลักเกณฑ์ เข้าข่ายเป็นการรวมธุรกิจหรือไม่ (กรณีกลุ่มเซ็นทรัลซื้อหุ้นบริษัท แกร็บประเทศไทย ไม่เข้าข่ายเป็นการรวมธุรกิจ เนื่องจากเป็นการซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพียงร้อยละ 30)
ขั้นตอนที่ 2 ต้องรู้ว่าอย่างไรจึงจะต้องขออนุญาต ลาดับต่อไปเมื่อรู้ว่าเป็นการรวมธุรกิจตามกฎหมาย สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อคือ จะต้องขออนุญาตต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าหรือไม่ ตรงนี้กฎหมาย เขียนไว้ชัดว่า เมื่อรวมธุรกิจแล้วอาจก่อให้เกิดการผูกขาด หรือเป็นผู้มีอานาจเหนือตลาด ต้องขออนุญาต
ดังนั้น จึงต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์การเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีอานาจเหนือตลาด ได้แก่ ต้องมีส่วนแบ่งตลาด ในตลาดใดตลาดหนึ่ง ตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หากรวมธุรกิจกันแล้วเข้าเกณฑ์ดังกล่าว ก็ต้องทาเรื่องขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าก่อนการรวมธุรกิจ
ขั้นตอนที่ 3 ต้องรู้ว่าอย่างไรจึงจะต้องแจ้งผลการรวมธุรกิจให้ทราบ กรณีนี้ไม่ยาก เนื่องจาก กฎหมายกาหนดไว้ว่าการรวมธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดการลดการแข่งขันอย่างมีนัยสาคัญ แต่ยังไม่ถึงขั้นการเป็น ผู้มีอานาจเหนือตลาด โดยกาหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าการรวมธุริจที่มียอดเงินขายรวมกันในตลาดใดตลาดหนึ่ง ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องแจ้งผลการรวมธุรกิจให้คณะกรรมการทราบ ภายใน 7 วัน
สุดท้ายนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติการรวมธุรกิจ ตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น และขอให้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะหากฝ่าฝืน กระทาผิดกฎหมายเกี่ยวกับการรวมธุรกิจ มีโทษปรับสูงสุดไม่เกินร้อยละ 0.5 ของมูลค่าธุรกรรมในการรวมธุรกิจ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าชุดนี้เอาจริงนะครับ
คอลัมน์นิสต์:
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ กรรมการการแข่งขันทางการค้า และโฆษกคณะกรรมการการแขง่ ขันทางการค้า