ความฝันของนักธุรกิจจากฝั่งไทย โดยเฉพาะบริเวณจุดผ่านแดนถาวร บ้านห้วยโก๋น หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ด่านชายแดนห้วยโก๋น" อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ภายหลังพิธีส่งมอบถนนสายใหม่เชื่อมระหว่างประเทศไทยและลาว ในโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา
อาจกลายเป็น "ฝันสลาย!" หรืออย่างน้อย หาก "ฝันนั้นจะเป็นจริง" คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" มีคำตอบ...
ก่อนอื่น เราลองไปสำรวจเส้นทางสาย "หงสา - บ้านเชียงแมน" ที่ว่านี้ก่อน..เริ่มจากเมื่อวันที่ 12 พ.ย.57 หลังจากรัฐบาลไทย ได้ออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติให้สำนักความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลัง เร่งดำเนินการช่วยเหลือแก่ สปป.ลาว เพื่อจัดสร้างถนนสายที่มีความยาวถึง 114 กม. ด้วยหวังจะใช้เป็นเส้นทางเชื่อมความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนด้านการค้าชายแดนไทย-ลาว
แม้ต้นทางของถนนสายนี้ หรือช่วง กม.ที่ 0 จะอยู่ห่างจากชายแดนไทยหลายกิโลเมตร ทว่าการเดินทางจากฝั่งไทย บริเวณด่านห้วยโก๋น มายังจุดเริ่มต้นโครงการฯ นี้ ก็จัดว่าสะดวกและอยู่ไม่ไกลนัก ครั้นขับรถจากฝั่งไทยจนมาถึง กม.ที่ 0 อันเป็นต้นทางของโครงการฯ ได้ ระยะทางที่เหลืออีก 114 กม. แม้บางช่วยจะต้องผ่านบริเวณหุบเหว และเส้นทางคดเคี้ยวของทิวเขาอย่างมากมาย ทว่าการขับรถผ่านเส้นทาง "หงสา - บ้านเชียงแมน" ก็จัดว่าสะดวก ปลอดภัย และประหยัดระยะเวลาได้อย่างมาก
เพราะหากยังคงใช้เส้นทางเก่า ที่ถนนยังเป็นหลุมบ่อ เพราะสร้างจากดินลูกรังแล้ว คงต้องใช้เวลายาวนานจากชายแดนไทย ไปแขวงหลวงพระบาง ซึ่งจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของลาวตอนเหนือ เพราะได้รับการยกย่องให้เป็น "เมืองมรดกโลก" จากองค์กรยูเนสโก ก่อนหน้านี้...คงต้องใช้เวลานานกว่า 7 ชม.
ทว่าการขับรถผ่านเส้นทางสายใหม่นี้ ลดระยะเวลาในการเดินทางเหลือเพียงแค่ 3 ชม.เศษเท่านั้น
ลดระยะเวลาการเดินทางลงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ดูเหมือนทุกอย่าง "เข้าข้าง" จะภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ แต่ในความเป็นจริง! มันหาเป็นเช่นนั้นไม่?
สาเหตุหลัก คือ นอกจากด่านศุลกากรห้วยโก๋นแล้ว ที่จังหวัดน่าน ยังมีอีก 1 ด่านฯสำคัญ ที่มีการนำเข้าและส่งออกสินค้า ไป-มาระหว่าง 2 ประเทศ ด้วยมูลค่าที่ค่อนข้างสูง จนไม่แน่ใจว่า...ด่านห้วยโก๋น ที่แม้จะอยู่ไม่ห่างจากเส้นทางสายใหม่...มุ่งหน้าไปหลวงพระบาง ยังจะได้รับโอกาสที่ดีกว่า ด่านทุ่งช้าง ซึ่งอยู่ในตำบลป่อน อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน หรือไม่?
เนื่องจากด่านทุ่งช้าง มีตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างไทย-ลาว รวมกันมากกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในแต่ละปี โดยเป็นการนำเข้าจากฝั่งลาวมากถึงปีละกว่า 2.15 หมื่นล้านบาท และเกือบทั้งหมดเป็นการนำเข้าพลังงานไฟฟ้า ขณะที่การส่งออกจากฝั่งไทยมีเพียง 4,866 ล้านบาทเท่านั้น (ตัวเลขสถิติจากปีงบประมาณ 2561)
สำหรับ 10 สินค้าจากฝั่งไทยในปีเดียวกัน อันดับหนึ่งคือ น้ำมันปิโตรเลียม 2,396 ล้านบาท รองมาคือ พอร์ตแลนด์ซีเมนต์ 172.5 ล้านบาท, รถบรรทุก 169.7 ล้านบาท, ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของ 89.7 ล้านบาท, ท่อนและเส้นอื่นๆ ทำด้วยเหล็ก 71 ล้านบาท, เครื่องวัดการสั่นสะเทือน 70 ล้านบาท, เครื่องอุปกรณ์ที่ใช้กรองของเหลว 64.6 ล้านบาท, ส่วนประกอบส่วนใหญ่ใช้กับเครื่องจักร 64.5 ล้านบาท, ท่อนและเส้นอื่นๆ ทำด้วยเหล็กกล้าเจืออื่นๆ 64.3 ล้านบาท, และอุปกรณ์และเครื่องใช้ในการสำรวจ 53.9 ล้านบาท
ไม่เพียงจุดด้อยที่ด่านศุลกากรห้วยโก๋น มีน้อยกว่าด่านศุลกากรทุ่งช้าง หากแต่สภาพแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะด้านกายภาพ ซึ่งด่านฯห้วยโก๋น มีสภาพเป็นหุบเหวในบางช่วง แถมบริเวณจุดผ่านแดน ยังเต็มไปด้วยปัญหามากมาย จากส่วนราชการไทยด้วยกันเอง
นั่นจึงนำไปสู่อาการเกรี้ยวกราดของ นายศรีรุ่ง รัตนศิลา ประธานหอการค้าจังหวัดน่าน ที่เปิดแถลงกับคณะสื่อมวลชนไทยเกือบ 30 ชีวิตที่ติดตาม NEDA ไปทำและรายงานข่าวพิธีส่งมอบโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา- บ้านเชียงแมนฯ
ประธานหอการค้าจังหวัดน่าน เปิดฉากโจมตี 2 หน่วยงานอันเป็น "ต้นเหตุ" สำคัญ ที่ฉุดรั้งให้ด่านฯห้วยโก๋น มิอาจจะเป็น "ศูนย์กลางทางการค้าชายแดนไทย-ลาว (ตอนบน)" ได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้
นั่นเพราะการแย่งชิง "พื้นที่ทับซ้อน" บริเวณจุดผ่านพรมแดนฯ ระหว่าง...”แขวง 2 กรมทางหลวง กับด่านศุลกากรห้วยโก๋น กรมศุลกากร” ตลอดช่วงเวลานับปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้การพัฒนาด้านอื่นๆ ของหน่วยงานอื่น ติดขัด...ไปทั้งขบวน
ทั้งนี้ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติพื้นที่กว่า 700 ไร่ ในการดูแลของกรมป่าไม้ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้เข้าใช้พื้นที่ รองรับการขยายตัวในมิติต่างนั้น ในส่วนของพื้นที่ที่จะถูกสร้างเป็นเขตการค้าชายแดนไทย-ลาว (ตอนบน) ราว 350 ไร่นั้น ถูกขวางกั้นจากปัญหาความขัดแย้งของ 2 หน่วยงานรัฐ จนไม่สามารถจะดำเนินการใดต่อไปได้
"ที่ผ่านมา กรอ.จังหวัดน่าน ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เพื่อให้ทำหนังสือทวงถามไปยังอธิบดีกรมทางหลวงและกรมศุลกากร ด้วยหวังจะให้ 2 หน่วยงาน ได้ยุติปัญหาความขัดแย้งในการแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อน เพื่อที่หน่วยงานอื่นๆ จะได้เข้าไปพัฒนาพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล รองรับเป้าหมายการสร้างมิติการค้าชายแดนไทย-ลาว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก ดังนั้น หากภายในเดือน มิ.ย.นี้ ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากทั้งกรมทางหลวงและกรมศุลกากรแล้ว ในต้นเดือน ก.ค.นี้ ผมและคณะนักธุรกิจจังหวัดน่าน จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึง กรอ.ใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อส่งต่อเรื่องดังกล่าวไปยังรัฐบาลต่อไป" นายศรีรุ่ง กล่าวด้วยอาการฉุนเฉียว
แน่นอนว่า...ภาคเอกชนในจังหวัดน่านเอง คงจะคาดหวังกับการเกิดขึ้นของเส้นทางเมืองหงสา- บ้านเชียงแมนฯ เพราะพวกเขาหมายมั่นปั้นมือจะสร้างให้พื้นที่แห่งนี้ กลายเป็น...ศูนย์กลางการค้าชายแดนไทย-ลาว (ตอนบน) ให้ได้โดยเร็ว
แต่เมื่อต้อง "ติดขัด" ที่ปมขัดแย้งในการ "แย่งพื้นที่" ระหว่างกรมทางหลวง กับกรมศุลกากร จึงทำให้ฝันของพวกเขายังมิอาจจะเป็นจริงได้ในวันนี้...
ล่าสุด มีรายงานข่าวจากด่านศุลกากรห้วยโก๋น แจ้งว่า...ปมปัญหาข้างต้นได้ยุติลงแล้ว เมื่อมีหนังสือจากรองอธิบดีกรมศุลกากร (ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดีกรมศุลกากร) ยืนยันจะให้กรมทางหลวงพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนอันเป็น "ต้นเหตุ" ของพิพาทครั้งนี้ โดยที่กรมศุลกากรพร้อมจะขยับจุดตรวจฯ ออกไปบริเวณด้านข้าง หลีกทางให้กรมทางหลวงได้พัฒนาพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
กระนั้น "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" ก็เชื่อว่า...แม้ปมขัดแย้งในเบื้องต้น จะได้รับการแก้ไขจนคลี่คลายไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่โอกาสที่ ด่านฯห้วยโก๋น จะถูกยกระดับ จนกลายเป็น "ศูนย์กลางการค้าชายแดนไทย-ลาว (ตอนบน)" นั้น ดูจะยังคงห่างไกล ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ ดังที่ได้นำเสนอผ่านข้อมูลข้างต้น
เสริมกันไป...ในเขตพื้นที่ลาวตอนบน นอกจากแขวงหลวงพระบาง ที่แม้จะมีเศรษฐกิจค่อนข้างดี เพราะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวปีละมากกว่า 7 แสนคน และมีอัตราการเติบสูงกว่าภาพรวมของการท่องเที่ยวของลาว จนเศรษฐกิจของหลวงพระบางเข้มแข็ง
กระนั้น หากนับรวมกับแขวงอื่นๆ ในเขตลาวตอนบนด้วยกันแล้ว ถือว่าเศรษฐกิจเทียบไม่ได้เลยกับลาวตอนใต้ ที่มีแขวงเวียงจันทน์ (เมืองหลวง) เป็น "หัวหอก" ดึงดูความสนใจของ...นักธุรกิจ นักลงทุน นักท่องเที่ยว และอื่นๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญมากกว่า
ถึงตรงนี้ หาก "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" จะย้ำอีกครั้งว่า...โอกาสที่ ด่านฯห้วยโก๋น จังหวัดน่าน จะได้รับการยกระดับจนกลายเป็น "ศูนย์กลางการค้าชายแดนไทย-ลาว (ตอนบน)" นั้น หากเกิดขึ้นจริง! คงต้องใช้เวลายาวนานอีกหลายปี และตัวปัญหาที่แท้จริง...หาใช่ปมขัดแย้งระหว่าง...กรมศุลกากรและกรมทางหลวงแต่อย่างใด?
แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยและความพร้อมในทุกมิติของด่านฯห้วยโก๋นเองมากกว่า!!!.
โดย..กากบาทดำ