ความหวังของ “ลูกหนี้เงินกู้” กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วไทย ราว 3.6 ล้านคน ที่มีภาระผูกพัน “ต้องชำระคืน” ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย แก่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งกว่าร้อยละ 60 จัดเป็นกลุ่มคน “ผิดนัดชำระ” นั้น จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม สุดท้ายคงต้องว่ากันไปตามกรอบของกฎหมาย...
เรื่องจะให้ กยศ. “ผ่อนปรน” มากไปกว่าที่ต้องเป็น โดยเฉพาะข้อเสนอของลูกหนี้บางกลุ่มที่อยากเห็น...กยศ. “ยกเลิกเบี้ยปรับ” และ “ออกหลักเกณฑ์ในการคำนวณเงินต้นและยอดหนี้ที่ต้องชำระใหม่ตามความสมัครใจ” นั้น ดูท่าจะห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกขณะ
เพราะจากท่าทีของ “ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลัง” ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ กยศ. ที่แม้จะไม่ใช่ “ประธาน กยศ.” โดยตำแหน่ง (ประธาน กยศ. คือ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) ก็ตาม แต่ความเป็น “แหล่งต้นเงิน” และมีหน้าที่จัดหารายได้ ด้วยการจัดเก็บภาษีทุกอย่างที่ขวางหน้า ในยามเศรษฐกิจของประเทศ “ถดถอย” ภายใต้ “ผู้นำรัฐบาล” คนปัจจุบัน เช่นนี้แล้ว
“ใบสั่ง” ให้ กยศ. เดินหน้า “รีดเงินคืน” จากลูกหนี้เงินกู้จึงต้องดำเนินต่อไป
เท่าที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” แงะข่าวออกมานั้น พบว่า สถานการณ์จริงในการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลัง มีเพียงกรมสรรพากรเท่านั้น ที่อาจจัดเก็บภาษี “หลุดเป้า” น้อยกว่ากรมภาษีอื่นๆ อย่าง...กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร เพราะแม้เป้าหมายการจัดเก็บรายได้จากภาษีที่ 2 ล้านล้านบาท จะอยู่ในระดับที่พอไปได้ ชนิด “หืดขึ้นคอ” ทว่า อีก 2 กรมภาษีที่เหลือ ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า และอาจเป็น “ตัวฉุดรั้ง” ให้เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไทย ในระดับคาดหวังที่ 2.5-2.6 ล้านล้านบาทในปีนี้ ต่ำกว่าความเป็นจริงจนน่าตกใจ
ขณะที่ การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ยังคงอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท นั่นก็หมายความว่า...ฐานะการคลังของ “รัฐบาลประยุทธ์” ในปี 2562 นี้ ยังคง “ติดลบ” เหมือนเช่นหลายปีที่ผ่านมา และสิ่งนี้...ได้ถูก “ส่งต่อ” ไปยัง “รัฐบาลประยุทธ์” สมัยที่ 2 ซึ่งตรงกับกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่มีตั้งวงเงินกันไปแล้วราว 3.2 ล้านล้านบาท
เห็นได้จากที่ “หัวแก้วหัวแหวน” ของ รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ชื่อ...นายณัฐพร ในฐานะ “โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ” ออกมาระบุถึง มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า...วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีงบประมาณ 2562 โดยกำหนดรายได้สุทธิเพียงแค่ 2.75 ล้านล้านบาท
สรุป เป็นการขาดดุลงบประมาณสะสมเพิ่มขึ้นไปอีก 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับปีงบประมาณ 2562
ทั้งหมดที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” งัดตัวเลขข้อมูลออกมาแสดงให้เห็นแบบคร่าวๆ นั้น ก็เพื่อจะยืนยันในประเด็นที่ว่า “ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลัง” มี “ใบสั่ง” ให้ กยศ. ภายใต้การนำของ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ คนปัจจุบัน “เดินหน้า” และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ กยศ. ได้คืน “เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย”
“ยึดทรัพย์และขายทอดตลาด”...หากจำเป็น พวกเขาก็ต้องเลือกทำเช่นนั้น!!! นั่นเพราะ...ต้นสังกัดอย่างกระทรวงการคลัง มิอาจรับมือและทนต่อสถานการณ์นี้ได้อีกต่อไป
ลำพัง...เงินคงคลังกระเป๋าฉีก! จากฝีมือ “รัฐบาลประยุทธ์” สมัยที่ 1 ก็หนักหาสาหัสอยู่แล้ว ดูท่าว่า...“รัฐบาลประยุทธ์” สมัยที่ 2 อาจจะหนักยิ่งกว่า เพราะหน้าตาของรัฐมนตรีบางคน? ใน “รัฐบาลใหม่” หื่นกระหายต่อการเข้าดำรงตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองเหลือเกิน
ฉะนั้น หน้าที่ของ กยศ. ในสถานการณ์นี้ คือ ต้องเรียกคืน “เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย” ในกลุ่มร้อยละ 60 ที่ “ผิดนัดชำระ” อย่างเข้มข้นและขึงขังต่อไป รวมถึงอีกร้อยละ 40 ที่ยังคงถูไถ...ชำระคืน “เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย” ได้อยู่นั่น จะต้องไม่พลิกข้างไปเป็น “กลุ่มคนผิดชำระ” อย่างเด็ดขาด!
“กระทรวงการคลัง ค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องที่ลูกหนี้ กยศ. ในกลุ่มที่ยังพอจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับทาง กยศ. ด้วยเกรงว่าสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คนกลุ่มนี้ “ตกงาน” หรือไม่มีรายได้เพียงพอจะชำระหนี้คืนได้” แหล่งข่าวระดับสูงจากระทรวงการคลัง แสดงความกังวลใจกับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์”
ล่าสุด เป็น นายชัยณรงค์ ผู้จัดการ กยศ. ออกมาสำทับดังๆ ว่า...ทุกวันที่ 5 ก.ค. ของทุกปี คือ “วันครบกำหนดชำระเงินคืนกองทุน” ที่ลูกหนี้ กยศ. ทุกคนในจำนวน 3.6 ล้านราย จะต้องชำระคืน “เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย” ให้กับ กยศ.
พร้อมยกหลักการและเหตุผล พ่วงข้อกฎหมายออกมาย้ำว่า... “กองทุนขอแจ้งเตือนให้ “ผู้กู้ยืมรุ่นพี่” มาติดต่อชำระเงินคืนภายในระยะเวลาและเงื่อนไข ที่กำหนด หากผู้กู้ยืมชำระล่าช้า จะต้องเสียเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชำระหนี้ ในอัตราร้อยละ 12-18 ต่อปี รวมถึง “ผู้กู้ยืม” และ “ผู้ค้ำประกัน” ที่ค้างชำระหนี้ อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายได้”
ชัดเจน!!!
ผู้จัดการ กยศ. ย้ำอีกว่า...ในปีที่ผ่านมา กยศ.ได้เริ่มดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมผ่านองค์กรนายจ้างภาครัฐทุกแห่ง และภาคเอกชนขนาดใหญ่แล้ว ซึ่งเป็นการหักเงินเดือนชำระหนี้ตามงวดวันที่ 5 ก.ค.62
ดังนั้น หากผู้กู้ยืมที่ยังชำระไม่ครบตามยอดรายปีที่ต้องชำระ หรือหน่วยงานยังไม่หักเงินเดือน หรือประกอบอาชีพอิสระ ผู้กู้ยืมสามารถตรวจสอบยอดหนี้ด้วยตนเองได้ทาง www.studentloan.or.th และชำระเงินผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ ธนาคารที่กองทุนกำหนด เคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ไทย หรือสแกน QR code จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai Next
ปัจจุบัน กยศ. มีนักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาไปแล้วกว่า 5.6 ล้านราย และคิดเป็นเงินกู้ยืมกว่า 6 แสนล้านบาท จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจาก “ผู้กู้ยืมรุ่นพี่” ในการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป
ถึงตรงนี้ ใครในกลุ่ม “ลูกหนี้” ของ กยศ. ที่แอบหวังใจลึกๆ ว่า...การรวมพลัง ทั้งในรูป “รวมพลตบเท้ายื่นหนังสือ” และใช้ “โซเชียลมีเดีย” รุมถล่ม! เพื่อหวังกดดันให้ กยศ. เร่งผ่อนปรนและผ่อนคลายความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายกับพวกเขานั้น
นาทีนี้...คงเป็นไปได้ยากนัก เพราะภาพใหญ่...กระทรวงการคลัง “ต้นสังกัด” ของพวกเขา กำลังตกที่นั่งลำบาก จากนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบ “หวังผลอะไรไม่ได้มากนัก” กระทั่ง...กระเป๋าฉีก! จัดเก็บรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายต่อเนื่องยาวนาน
ฉะนั้น “ลูกหนี้ กยศ.” ที่ยังพอมีงานประจำและมีรายได้ ถึงอย่างไร? ก็คงเลี่ยงภาระ “จ่ายเงินเงินต้นและดอกเบี้ย” ได้ยาก เพราะ กยศ.เล่นไปตัดเงินออกจากบัญชีเงินเดือนกับทางต้นสังกัดที่ทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงานในส่วนของภาครัฐหรือภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเอกชนรายเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
ขณะที่ “ลูกหนี้ กยศ.” กลุ่มที่ไม่มีงานประจำทำ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ ดูท่าว่า...คุณกำลังจะทำให้ “คนค้ำประกัน” เดือดร้อน...จากการ “บังคับหนี้” ตามข้อกฎหมาย และหากจำเป็น เราอาจได้เห็นรายการ “ตามยึดทรัพย์-ขาดทอดตลาด” ทั่วแผ่นดิน เพื่อให้ กยศ.ได้คืน “เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย” แต่จะเป็นปมไหน? คงต้องรอให้ผ่านพ้นหลังวันที่ 5 ก.ค.62 ไปแล้วนั่นแหละ!!!.
โดย กากบาทดำ