2 เรื่อง "ระดับโลก" ที่คนในภาคส่วนเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยและทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มคนกำกับดูแลเชิงนโยบาย หรือกลุ่มคนที่ต้องปฏิบัติตามกรอบของนโยบาย ล้วนต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิดมากที่สุดในยามนี้
นั่นเพราะ...ทั้งการเกิดขึ้นของ “LIBRA เงินสกุลดิจิทัล“ ที่ค่าย facebook เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ระดับโลก ที่ดึงพันธมิตรธุรกิจชั้นนำของโลกหลายสิบราย มาร่วมสร้างนวัตกรรมการเงินยุคใหม่ และเตรียมจะประกาศ "เปิดตัวอย่างเป็นทางการ" ในอนาคตอันใกล้
รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่ได้รับการคาดหมายจากคนทั่วโลก ทำนอง...ชาติสมาชิกน่าจะดึงเอา "คู่ขัดแย้ง" ทางด้านการค้าระหว่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน กลับเข้าสู่เวทีหารืออีกครั้ง เพื่อยุติ "สงครามการค้า" ที่ส่งผลกระทบ ชนิด "ฟาดงวงฟาดงา" ไปทั่วทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่...ประเทศไทยของเรา
สุดท้าย...มันจะลงกันอย่างไร?
ทั้ง 2 เรื่อง ล้วนส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรุนแรง และเป็นเรื่องที่จะยังคงอยู่คู่กับโลกใบนี้ไปอีกนาน อย่างน้อยก็...นับเป็นปีนั่นแหล่ะ
ข้ามไปดูที่ฝั่งการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 กันก่อน...
ว่ากันว่า...การประชุมฯ รอบนี้ ถูกจับตาของทั่วโลก โดยเฉพาะการเจรจาระหว่าง "ผู้นำสหรัฐฯ-จีน" ที่อาจนำไปสู่...บทสรุปของสงครามการค้าที่เกิดขึ้นมาเกือบครบรอบ 1 ปี ในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เมื่อย้อนมองสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมา เชื่อว่า...ทั้งสหรัฐฯ และจีน ต่างก็รู้ว่าสงครามการค้าที่ยืดเยื้อไม่ส่งผลดีต่อทั้งคู่ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้ว คือ ราคาสินค้านำเข้าจาก 2 ประเทศ ต่างปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลลบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตภายในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น
แต่เพราะ "จุดยืน" ทั้งด้วย “หลักเหตุผลและหลักอารมณ์” ของทั้ง 2 ผู้นำฯ การดำเนินการทุกอย่าง จึงเป็นไปในลักษณะของการรักษาผลประโยชน์ทางการเมืองและสร้างคะแนนนิยมเป็นสำคัญ
จึงน่าสนใจว่า...ในการประชุม G20 ครั้งนี้ จะดึงเอาคู่กรณีกลับสู่เวทีการเจรจาอีกครั้งได้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ระดับโลกหลายคนมองตรงกัน ดูท่าแล้ว...โอกาสที่ ผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำจีน จะหันหน้ามาเจรจาเพื่อยุติปัญหาดังกล่าว ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเวทีการประชุม G20 ครั้งนี้
สอดรับกับมุมมองของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่มองว่า การประชุม G20 ในครั้งนี้ ถือเป็นการดึงให้สหรัฐฯ และจีนกลับมาสู่เวทีเจรจา เพื่อหาทางออกของสงครามการค้าระหว่างกัน..
อย่างไรก็ดี ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็มีจุดยืนที่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศและฐานเสียงที่ส่งผลต่อสถานะการเป็นผู้นำประเทศ ขณะที่ ข้อเรียกร้องที่แต่ละฝ่ายต้องการกลับเป็นประเด็นที่อ่อนไหวของอีกฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ยากที่การประชุม G20 จะนำไปสู่ข้อสรุปร่วมกันระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ซึ่งในท้ายที่สุดสหรัฐฯ อาจเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และผลกระทบจากการเก็บภาษีครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ผลกระทบของสงครามการค้า "สหรัฐฯ-จีน" ต่อภาคการส่งออกของไทย อยู่ที่ 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 ขณะที่มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้าจีนรอบ 3.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยการทยอยขึ้นภาษีเหมือนครั้งก่อน อันจะมีผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีโอกาสแตะกรอบบนของผลกระทบที่คาดไว้ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ถ้าทั้งคู่ยังคงเดินหน้าเล่นเกมทางการค้านี้ต่อไป อาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมผ่านการซบเซาของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมการส่งออกของไทยในภาพรวมของปี 2562 และต่อเนื่องไปถึงปี 2563
วกกลับมาดูที่เหรียญ LIBRA ของค่าย facebook ซึ่งนักการเงินการธนาคาร และนักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจทั่วโลก ต่างมองเห็นเป็นทั้ง "หายนะ" ระดับ "มหาวินาศภัย" ของรัฐบาลและกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน
โดยเฉพาะภาคธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในหลายประเทศ และเป็น "โอกาส" ขั้น "คุณูประการ-เอนกอนันต์" ที่หลายธุรกิจ-อุตสาหกรรมทั่วโลกจะได้รับ และร่วมกันปลดพันธนาการ "กินค่าต๋ง" จากค่าธรรมเนียมบริการทางการเงินของรัฐบาลและกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ทว่าแค่การออกข่าวเพียงไม่นาน...ก็ถูก "รุมโจมตี" จากรัฐบาลนานาประเทศ ทั้งฟากสหรัฐอเมริกา ที่ดูจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะหากเหรียญ LIBRA ถูกประกาศใช้กันจริงๆ แน่นอนว่า...เงินดอลลาร์ย่อมได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด! เนื่องจากทุกวันนี้...เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็น...เงินสกุลหลักของโลก ที่เกือบทุกประเทศ จำต้องมีสำรองเอาไว้ เพื่อประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศ
แล้วก็ใช่แค่...รัฐบาลสหรัฐฯ เพราะแม้แต่รัฐบาลชาติยุโรป รวมถึงรัสเซีย และอีกหลายประเทศของเอเชียเอง ต่างก็ประกาศจ้อง "ล้มกระดาน" ไม่ร่วมสังฆกรรมกับเหรียญ LIBRA ของ facebook อย่างเอาเป็นเอาตาย
ถามว่า...พวกเขารังเกียจเงินจิดิทัลอย่างนั้นหรือ? "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" สืบค้นจนทราบว่า...รัฐบาลทุกประเทศ หาได้รังเกียจเงินดิจิทัล กลับกัน...ยังอยากจะเป็นเจ้าของเงินดิจิทัลด้วยซ้ำไป เพราะช่วยให้การบริหารการเงินการคลังและการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล ทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตเงินแบงก์และเหรียญเงินได้อีกเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลเกือบทุกประเทศ ต่างชื่นชอบเงินจิดิทัล แต่ไม่ชอบเหรียญ LIBRA นั่นเพราะเครือข่ายของ facebook และพันธมิตรธุรกิจชั้นนำระดับโลก ยิ่งใหญ่และกว้างไกลเกินศักยภาพของรัฐบาลทุกประเทศ หากปล่อยให้ เหรียญ LIBRA เกิดขึ้น ไม่เพียงธนบัตรและเหรียญเงินอาจต้องล้มหายตายจากไปเท่านั้น ยังอาจทำให้ระบบการเงินของโลกได้รับความเสียหาย
จนอาจทำให้ผู้คนบนโลกใบนี้...เลิกใช้ "เงินเฟียต" หรือเงินในรูปของเหรียญและธนบัตร กันไปเลยก็ได้
ทว่า...ในความไม่พอใจกับการถือกำเนิดของเหรียญ LIBRA ของรัฐบาลหลายๆ ประเทศนั่น อาจมีอยู่บางประเทศ เช่น จีน ที่อาจกำลังรู้สึกยินดีกับโอกาสแห่งการนำไปสู่วิถีทางการล่มสลายของเงินดอลลาร์สหรัฐฯอยู่เป็นได้
หากรัฐบาลจีนและเครือข่ายธุรกิจจีนโพ้นทะเลที่มีประชากรเชื้อสายจีนรวมกันในทั่วทุกมุมโลก มากกว่า 2,000 ล้านคน เปิดรับ...เหรียญ LIBRA เสียอย่างแล้ว โอกาสที่รัฐบาลนานาชาติ ที่ต้องการจ้องจะ "ล้ม" เงินดิจิทัลของ facebook อาจกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันทีเช่นกัน
จากเรื่อง "สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน" จนถึง...เหรียญ LIBRA ของ facebook เห็นหรือยังว่า..."สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" สามารถจะเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ นั่นเพราะ...วลีดังในบทประพันธ์ ที่หลายเรื่องได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แนวกำลังภายในของฝั่งจีน ที่ว่า...
"แค้นนี้...ต้องชำระ ผ่านไปสิบปี...แก้แค้นก็ยังไม่สาย"
ทว่าสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น...!!!.
โดย..กากบาทดำ