ยังคงมีลุ้นกันว่าร่างสัญญาการต่ออายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 รวมทั้งส่วน D และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางด่วนอุดรรัถยา).. ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นเจ้าของโครงการจะหลุดเข้าไป เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในช่วงสุดท้ายของรัฐบาล คสช.นี้ เพื่อเสนอเห็นชอบคงจะไม่ง่ายซะแล้ว
เมื่อกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ผนึกกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ต่อต้านกันอย่างเหนียวแน่น
นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐ อย่าง กทพ. ส่อแววเสียค่าโง่ก้อนใหม่เพิ่ม หลังจากก่อนหน้านี้ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินให้ กทพ. ต้องจ่ายค่าโง่ก้อนแรกจำนวน 4,318 ล้านบาท แต่ยังมีอีกหลายคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลและอนุญาโตตุลาการ
ซึ่งหาก กทพ. แพ้คดีทั้งหมด จะต้องจ่ายเงินที่หลายฝ่ายเรียกกันว่า “ค่าโง่ทางด่วน” คิดเป็นเงินกว่า 1.3 แสนล้านบาท ให้บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM) ไปแบบสุดแสนช้ำใจคน กทพ.
ยิ่งน่าเจ็บใจไปกว่านั้นอีก เมื่อ นายบัณทิตย์ พึงลำภู เลขาธิการ สร.กทพ. ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ทำเอาทั้งศาล รัฐบาล ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการบอร์ด กทพ. และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้หนาวๆ ร้อนๆ กัน หรืออาจเรียกว่า “โดนแหกตา” กันถ้วนทั่วนั้นว่า ข้อมูลที่คณะกรรมการนำไปพิจารณาจนส่งผลสรุปไปให้ศาลประกอบการพิจารณานั้นยังมีความไม่ชอบมาพากลในหลายประเด็น โดยเฉพาะกรณี “ไม่ได้รับการตรวจการจ้าง” จาก กทพ. อย่างเสร็จสมบูรณ์
ดังนั้น กรณีดังกล่าวนี้ จึงเป็นที่มาของการไล่สอบข้อมูลย้อนหลังไปจนยาวเหยียด ทั้งเอกสาร ผลการประชุมที่บ่อยครั้งมีหมกเม็ด วาระประชุมลับ แต่แอบมุบมิบกันไม่กี่คนของคณะกรรมการเพียงไม่กี่คนหรือไม่!
ร้ายยิ่งกว่านั้น กำลังไล่ตรวจสอบว่า บุคคลเหล่านี้เป็นสายของใคร เช่นเดียวกับบริษัทที่ปรึกษาโครงการดังกล่าวนี้มีนอกมีในกับโครงการดังกล่าวนี้อย่างไรบ้าง เหล่าพนักงานและ สร.กทพ. จึงฝากความหวังไว้กับแกนนำหลักอย่าง “ลาภดี กลย์ณีย์” ประธานที่ปรึกษา สร.กทพ. และ “บัณทิตย์ พรึงลำภู” เลขาธิการ สร.กทพ.
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเป็นสิ่งเคลือบแคลงใจให้กับอีกหลายฝ่ายที่เมื่อมองอย่างไรเอกชนจะได้ประโยชน์มากกว่า กทพ. ทั้งขึ้นทั้งล่อง
เมื่อรัฐบาลประเคนการต่ออายุสัญญาสัมปทานให้กับ BEM ได้อีก 30 ปี ยิ่งจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการลงรายละเอียดทางบัญชี นั่นหมายความทันทีว่า จะส่งผลให้ กทพ. รับภาระหนี้พร้อมดอกเบี้ยก้อนโตในชั่วข้ามคืน
เบื้องต้นนั้นมูลค่าความเสียหายโครงการนี้เห็นภาพชัดบ้างแล้วและยังจะเกิดขึ้นตามมาอีกหลายคดี..
เริ่มจากที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้ว 4,318 ล้านบาท ยังอยู่ในการพิจารณาศาลปกครองสูงสุด 6,332 ล้านบาท ยังอยู่ในการพิจารณาศาลปกครองกลาง 7,226 ล้านบาท ส่วนที่อนุญาโตตุลาการตัดสินให้ BEM ชนะแล้ว 12,050 ล้านบาท ส่วนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาโตตุลาการ 35,986 ล้านบาท
เท่านั้นยังไม่พอยังมีส่วนคดีที่เตรียมยื่นต่ออนุญาโตตุลาการอีกคิดเป็นวงเงินสูงถึง 75,437 ล้านบาท ซึ่งนายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำการแทนผู้ว่าการ กทพ. กล่าวต่อหน้า สร.กทพ. ในการประชุมบอร์ด กทพ. ครั้งล่าสุดว่า..
“หากมีการต่อสัญญาจะกำหนดเงื่อนไขว่าให้ยกเลิกส่วนที่เป็นคดีฟ้องร้องต่อกันทั้งหมด และไม่ให้เป็นการแข่งขันต่อกันอีกต่อไป ศาลยังไม่ตัดสินจึงเข้าข่ายในทำนองที่ว่า การรบยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร ดังนั้น คดียังไม่จบสิ้นไฉนจึงรีบเร่งรวบรัดความผิดเพื่อเสนอให้เอกชนได้ประโยชน์เต็มๆ”
นอกจากนั้น ในการชำแหละคดีค่าโง่ในครั้งนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลไม่เร่งรีบนำเข้าสู่การพิจารณาในครม. เนื่องจากต้องการทำให้โปร่งใสตรวจสอบได้จริงทุกขั้นตอนตามที่หลายฝ่ายเคลือบแคลงสงสัย
นำโดยนายแพทย์ ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ เป็นแกนนำร่วมกับสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายแก้วสรร อติโพธิ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ฯลฯ ที่พร้อมอภิปรายให้ประชาชนเห็นไส้ลึกๆ ของการหมกเม็ดรายละเอียดในการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอันนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดี “ค่าโง่ทางด่วน” ต่อกันมาจนถึงวันนี้!
....