พลันที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ป่าวประกาศความสำเร็จในการประมูลสิทธ์ประกอบกิจการร้านปลอดภาษี “ดิวตี้ฟรี” ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และท่าอากาศยานในภูมิภาคของ ทอท. (เชียงใหม่, หาดใหญ่ และภูเก็ต) กับโครงการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 3 โครงการยักษ์ของ ทอท. ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แก่ ทอท. ปีละกว่า 23,000 ล้านบาท
โดยมีกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ฯ เป็นผู้ชนะการประมูลทั้ง 3 โครงการเพราะเสนอผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐสูงสุดและมีกำหนดลงนามในสัญญาระหว่างกันในวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา
พร้อมๆ กับกระแสข่าวทะลุขึ้นมากลางปล้องกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาฯ หรือ CPN ที่เป็นคู่ขิงดำสัมปทานดิวตี้ ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ในครั้งนี้แต่ต้องพ่ายไป ได้เตรียมเปิดดำเนินโครงการ "เซ็นทรัล วิลเลจ" ลักชัวร์รี่ ท์เลตสุดอลังการ บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองสุวรรณภูมิ ติดทางเข้า-ออกสนามบินฝั่งถนนบางนา-ตราดในสิ้นเดือนสิงหาคมศกนี้
ทำเอา AOT และกลุ่มคิงเพาเวอร์ที่กำลังเตรียมจรดปากกาเซ็นสัญญาถึงกับสะอึก!
เพราะหากโครงการ Central Village ปาดหน้าเปิดให้บริการได้ สัมปทานดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งในสนามบินสุวรรณภูมิที่กลุ่มคิงเพาเวอร์เพิ่งพิชิตคู่แข่งมาได้แบบม้วนเดียวจบก่อนหน้า รวมไปถึงโครงการคอมเพล็กซ์ยักษ์และร้านปลอดภาษีคิงเพาเวอร์ ศรีวารี ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกลุ่มคิงเพาเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิกว่า 10 กม. จะกลายเป็นโครงการไร้ค่าขึ้นมาทันที
กระแสกดดันและเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปตรวจสอบที่มาที่ไปของโครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” จึงปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โครงการดังกล่าวผุดขึ้นมาข้างรันเวย์สุวรรณภูมิได้อย่างไร มีการขออนุญาตก่อสร้างอย่างถูกต้องหรือไม่ จะส่งผลกระทบความปลอดภัยด้านการบินหรือไม่ ?
ก่อนที่กลุ่มซีพีเอ็นจะออกแถลงการณ์ยืนยันการได้มาซึ่งที่ดินทำเลทองผืนดังกล่าว รวมทั้งได้มีการประสานและขออนุญาตหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.บางโฉลง) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) ที่ต่างออกมายืนยันกลุ่มเซ็นทรัลได้รับอนุญาตก่อสร้างโครงการดังกล่าวอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่มี
แต่กระนั้น กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจากการตรวจสอบโครงการดังกล่าว พบว่ามีการรุกล้ำที่ราชพัสดุ ที่อยู่ในความดูแลของบริษัทท่าอากาศยาน และกรมการบินพาณิชย์ เนื่องจากพื้นที่บริเวณที่ตั้งห้างดังกล่าวนั้นอยู่ในพื้นที่เวนคืนที่ได้ดำเนินการไปตั้งแต่ปี 2511-2513 จึงขอให้ ทอท. และกลุ่มเซ็นทรัล ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากพื้นที่ดินของราชพัสดุโดยเร็ว
กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” ที่กำลังระอุแดด!
“กลุ่มเซ็นทรัล” โชว์ใบอนุญาตก่อสร้าง
ในทันทีที่มีกระแสข่าว โครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” เอาท์เลท มอลล์ เนื้อที่กว่า 100 ไร่ติดทางเข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิฝั่งถนนบางนา-ตราด มีการปลูกสร้างรุกล้ำที่ราชพัสดุอันเป็นสถานที่ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และอาจส่งผลกระทบความปลอดภัยด้านการบินนั้น แผนกสื่อสารองค์กร CPN ได้ร่อนแถลงการณ์ชี้แจงไปยังสื่อมวลชนทุกสำนัก โดยระบุว่า
1. เซ็นทรัล วิลเลจ ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยตัวอาคารแต่ละหลังมีพื้นที่ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร และมีความสูงไม่เกิน 23 เมตร (ต่ำกว่าข้อกำหนดทำการบินห้ามก่อสร้างอาคารสูงเกิน 36 เมตร) บนที่ดินที่ซื้อมาจากเอกชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยืนยันตัวอาคารไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ/หรือที่ดินของภาครัฐใดๆ
2. โครงการนี้ได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างภายในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และ อบต.บางโฉลง อันเป็นหน่วยงานท้องถิ่น
พร้อมกันนี้ กลุ่มเซ็นทรัล ยังระบุด้วยว่า บริษัทเชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรมและให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ด้วยความตั้งใจอันดีที่จะทำให้โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เป็น International Luxury Outlet จากฝีมือคนไทยเป็นที่แรกเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการช็อปปิ้งระดับโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ โดยมั่นใจว่าจะเปิดให้บริการได้ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ตามกำหนดเดิม
กพท. สำทับซ้ำอนุมัติถูกต้อง
ขณะที่ นายจุฬา สุขมานพ ผอ.สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า กพท. ได้รับหนังสือร้องเรียนจาก ทอท.เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ขอให้ตรวจสอบสิ่งก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ บริเวณใกล้กับสนามบิน เนื่องจาก ทอท. อ้างว่าตำแหน่งที่ตั้งก่อสร้างอยู่ห่างจากทางวิ่งเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการทำการบินได้
ผู้อำนวยการ กพท. ยืนยันว่า ในการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ทางบริษัทได้มีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างกับ กพท.มาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว และที่ผ่านมาบริษัท และ กพท. ได้ร่วมกันปรับแก้ไขแบบก่อสร้างให้สอดคล้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินแล้ว โดย กพท. ได้อนุมัติให้มีดำเนินการก่อสร้างไปตั้งแต่เดือน ก.ค. 2561
“อาคารที่ก่อสร้างนั้นอยู่ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ หรือแนวร่อนสนามบิน ซึ่งตาม พ.ร.บ.การเดินอากาศ 2497 กำหนดให้ต้องขออนุญาตต่อ กพท. ก่อนก่อสร้าง ซึ่งทางผู้รับเหมาได้ยื่นแบบเพื่อขออนุญาตก่อสร้างกับ กพท. อย่างถูกต้องตั้งแต่ปี 60 แล้ว และก็มีการปรับแบบเรื่องความสูงลงให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย จนสุดท้าย กพท. ก็เซ็นอนุมัติให้ก่อสร้างได้ ในช่วงเดือน ก.ค.ปี 61 โดยตัวอาคารที่อนุมัติให้ก่อสร้างจะมีความสูง 23 เมตร ซึ่งไม่เกินมาตรฐานกำหนดที่ 36 เมตร และอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งประมาณ 2 กิโลเมตร”
หนามยอกอก..สัมปทาน "คิงเพาเวอร์"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การผุดโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ซึ่งเป็น Luxury Outlet ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 5 ,000 ล้านบาทดังกล่าว ถือเป็น “หนามยอกอก” สัมปทานร้านปลอดภาษีและสัมปทานบริหารพื้นที่ในเชิงพาณิชย์ที่กลุ่มคิงเพาเวอร์เพิ่งได้สัมปทานจาก ทอท. ไปล่าสุด
ด้วยทำเลที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าดังกล่าวที่อยู่ติดรันเวย์สนามบินห่างออกไปเพียง 2 กม.นั้น เมื่อห้างดังกล่าวเปิดดำเนินการก็เชื่อแน่ว่า ไม่เพียงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งกิจการร้านปลอดภาษีและบรรดาร้านรวงต่างๆ ในพื้นที่เชิงพาณิชย์
แม้แต่โครงการคิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ (King Power Srivaree Complex) กลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ต้องการเนรมิตให้เป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยมีพื้นที่รวมกว่า 39,000 ตร.เมตร และมีพื้นที่ร้านดิวตี้ฟรีกว่า 12,000 ตร.เมตร ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป 15 กม.นั้น ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
“การที่กลุ่มเซ็นทรัล ผุดเอาท์เลต และช้อปปิ้งมอลล์ทางเข้า-ออกสนามบิน หรือแทบจะเรียกได้ว่าติดรั้วสนามบินนั้นเป็นการตอบโจทย์ให้กับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ทั้งหมด เพราะจากนี้ไปไม่ต้องกลัวจะตกเครื่องอีกแล้ว หากจะช็อปปิ้ง หรือดูหนังฟังเพลงอย่างไร ย่อมสามารถจะจับจ่ายใช้สอยก่อนขึ้นเครื่องได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องรีบ เพราะห้างแห่งนี้ตั้งอยู่ริมรั้วสนามบิน ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงเกตเวย์ได้แล้ว จึงถือเป็นหนามยอกอกที่เชื่อแน่ว่างานนี้กลุ่มคิงเพาเวอร์คงต้องดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อหาทางสกัดกั้นและยับยั้งการเปิดดำเนินการของห้างยักษ์เซ็นทรัล วิลเลจนี้ให้ได้”
หาไม่แล้ว ธุรกิจที่มีมูลค่านับแสนล้านของกลุ่มคิวเพาเวอร์ที่เพิ่งประมูลชนะมาย่อมได้รับผลกระทบทันที
แหล่งข่าวในวงการค้าปลีก เปิดเผย ”สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ว่า การรุกคืบของกลุ่มซีพีเอ็นในการผุดโครงการเอาท์เลต มอลล์ ขนาดยักษ์ดังกล่าว ถือเป็นการดำเนินการที่แยบยลโดยไม่มีใครระแคะระคายมาก่อน โดยทางกลุ่มมีการเจรจาจัดซื้อที่ดิน รวบรวมแปลงที่ดินจากมือเอกชนหลายรายเป็นแปลงใหญ่ ก่อนดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเงียบเชียบ
“ถือเป็นโชคดีของกลุ่มที่ก่อนหน้านี้กระทรวงคมนาคมได้แยกหน่วยงาน กพท. ออกไปจากกรมการบินพาณิชย์ และยังวางข้อกำหนดห้ามผู้บริหารหน่วยงานเข้าไปนั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่มีส่วนได้เสียอย่าง ทอท. ด้วย จึงทำให้ผู้บริหาร ทอท.ไม่ได้รู้ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน หาไม่แล้วก็ยากที่จะได้รับการอนุมัติ”
กับคำถามคำโต..ยืมมือรัฐเล่นงานหรือไม่?
กับการออกโรงของอธิบดีกรมธนารักษ์ ล่าสุดที่ออกมาระบุว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลแล้วปรากฏว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งได้มาโดยกรมท่าอากาศยาน (กรมการบินพาณิชย์เดิม) จัดซื้อจากราษฎรด้วยเงินงบประมาณในช่วงปี พ.ศ. 2511 - 2513 เพื่อใช้ในราชการของกรมท่าอากาศยาน และได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุจำนวน 26 ทะเบียน รวมเนื้อที่ประมาณ 184 - 13 - 26 ไร่ และอยู่ในความครอบครองของกรมท่าอากาศยาน ปัจจุบันใช้ประโยชน์เป็นทางเข้า – ออกของสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้นการที่มีเอกชนรุกล้ำเข้ามาในที่ราชพัสดุ กรมท่าอากาศยานในฐานะผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ จึงมีหน้าที่ต้องดูแล โดยต้องแจ้งให้เอกชนดำเนินการรื้อถอน ขนย้ายทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ราชพัสดุตามกฎหมาย
น่าแปลก! เหตุใดกรมธนารักษ์ จึงออกมาให้ข่าวโดยระบุว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าวรุกล้ำที่ราชพัสดุและอยู่ในเขตห้ามก่อสร้าง ทั้งที่หากพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการเวนคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของสนามบินตั้งแต่ปี 2511 ย่อมก่อให้เกิดคำถามหากเป็นที่ดินเวนคืนตามกฎหมาย เหตุใดพื้นที่ดังกล่าว จึงยังคงมีเอกสารสิทธิ์ที่สามารถทำการซื้อ-ขายและโอกรรมสิทธิ์กันได้ โดยที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ระแคะระคายมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2562 กรมธนารักษ์เองก็เพิ่งไฟเขียวให้ ทอท. ต่อสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ อันเป็นที่ตั้งสนามบินสุวรรณภูมิเนื้อที่กว่า 19,250 ไร่ ออกไปอีก 30 ปีจนถึงปี 2593 จากสัญญาเดิมที่จะสิ้นสุดลงในปี 2575 โดยในแผนที่ ทอท. เสนอมานั้น ทอท. มีแผนจะนำที่ดินที่ยังเหลือนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์สร้างรายได้ในระยะยาว ซึ่งสัญญาเช่าที่เหลือ 13 ปีไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้เอกชนมาร่วมลงทุนได้ หากเป็นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งกรมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วที่จะรับพิจารณา เนื่องจากจะมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่ม จากปัจจุบันที่ได้รับอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ก็เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้านี้เช่นกันว่า ทอท. มีแผนจะนำที่ดินที่เป็นทำเลทองโดยรอบสนามบินสุวรรณภูมินี้มาเปิดให้เอกชนพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เพื่อนำไปสู่ “เมืองการบิน” อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยที่ดินเป้าหมายที่ ทอท. มีแผนจะนำมาให้เอกชนพัฒนานั้น ประกอบไปด้วย ที่ดินแปลงที่ 37 เนื้อที่ 1,470 ไร่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งที่ดินส่วนหนึ่ง ทอท. นำไปก่อสร้างเป็น ”ไบค์เลน” ไปแล้ว แต่ยังคงเหลือที่ดินอยู่อีกรา 700 ไร่ ส่วนอีกแปลงนั้นเป็นพื้นที่ 723 ไร่ใกล้วัดศรีวารีน้อย ซึ่ง ทอท. มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ 10 กิจกรรม ได้แก่ โรงแรม การขนส่งและโลจิสติกส์ สำนักงานและศูนย์ธุรกิจ ร้านค้าและศูนย์การค้า การท่องเที่ยวและนันทนาการ การประชุมสัมมนาและนิทรรศการ ที่พักอาศัย การกีฬา การรักษาพยาบาล และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aero) ให้เป็น 50% ในปี 2563
“มีข้อจำกัดเวลาการเช่าที่สั้นไป เหลือแค่ 10 กว่าปี จะทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่เพราะไม่คุ้มค่าการลงทุน จึงขอขยายอายุสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์อีก 30 ปี ต่ออายุสัญญาเช่าได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี รวม 50 ปี เพื่อให้เอกชนสามารถลงทุนเป็นโครงการขนาดใหญ่ขึ้น คาดว่าการลงทุนโครงการจะมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนระยะเวลาสัมปทานสูงสุดอยู่ที่ 50 ปี”
อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ทั้ง ทอท. และกรมธนารักษ์เอง ก็มีแผนที่จะปัดฝุ่นที่ดินทำเลทองโดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิไปให้เอกชนพัฒนากิจกรรมในเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว “แล้วเหตุใด เมื่อพบว่ากลุ่มทุนที่ปาดหน้าเข้ามาพัฒนาโครงการก่อนใครนั้น กลับกลายเป็นกลุ่ม CPN ทั้ง ทอท. และกรมธนารักษ์ กลับเต้นเป็นเจ้าเข้าและวิ่งวุ่นหาทางสกัดและยับยั้งเพื่อล้มโครงการให้ได้ เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ ทอท.หรือปกป้องผลประโยชน์?ของกลุ่มทุนใดกันแน่”
คงต้องจับตาบทสรุปของซูเปอร์ ลัคชัวร์รี่ เอาท์เลต “เซ็นทรัล วิลเลจ” ที่กลุ่มซีพีเอ็นผุดโครงการปาดหน้าเจ้าถิ่นจนถึงกับกลืนเลือดในครั้งนี้ว่าจะจบลงอย่างไร แต่เราเชื่อแน่ว่าหนทางเปิดดำเนินโครงการลัคชัวร์รี่ เอาท์เลตของกลุ่มซีพีเอ็นดังกล่าว คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่
เพราะเดิมพันครั้งนี้คือ “ธุรกิจแสนล้านของอาณาจักรคิงเพาเวอร์” นั่นเอง!!!