เรื่องขยะๆ ของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นแค่...ปัญหาขยะมูลฝอย กลุ่มที่เป็นอันตราย หรือไม่เป็นอันตราย ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่าถึง 1 ใน 9 ทว่าอันตรายของมัน กลับมีสูงมากยิ่งกว่า
เหล่านี้...ล้วนเป็นปัญหาที่ผู้คนทุกภาคส่วนของสังคมไทย จะต้องตระหนักรู้และหาทางรับมือกันเสียแต่เนิ่นๆ
“สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” มองเห็นว่า เรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย ทั้งต่อวิถีชีวิตและปัญหาสุขภาพของผู้คน ปัญหาสิ่งแวดล้อม
รวมถึงผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ดังนั้นจึงต้องหยิบยกเรื่องนี้ มาบอกกล่าวให้คนไทยและสังคมไทยได้รับรู้ถึงอันตรายแฝงที่มาจากปัญหาขยะๆ
จากข้อมูลที่ สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุไว้ น่าสนใจอย่างมาก กล่าวคือ...ในทุกๆ วัน คนไทยช่วยกันสร้างขยะกันแทบทุกวินาที ผลก็คือ พบว่า...มีปริมาณขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นจาก 10 ปีก่อนมากกว่า 3 ล้านตัน..
อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของชุมชนเมืองและพฤติกรรมการกินอยู่ของคนในสังคมนั่นเอง!
ที่น่าตกใจกว่า คือ ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในทุกๆ วินาทีนั้น กระบวนการในการป้องกันการเกิดขึ้นของขยะใหม่ และการกำจัดขยะเหล่านั้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร จนทำให้พบข้อมูลที่ว่า...ทุกปี..มี “ขยะตกค้าง” มากถึงเกือบ 10 ล้านตัน!!
ในส่วนของขยะมูลฝอย ไม่ได้มีแค่พวกเศษอาหารอย่างเดียว แต่ยังมีแยกเป็น...ขยะย่อยสลาย (Compostable Waste), ขยะรีไซเคิล (Recyclable Waste), ขยะอันตราย (Hazardous Waste), ขยะทั่วไป (General Waste)
ปี 2561 พบว่า ขยะมูลฝอยทั้ง 4 ประเภทนี้ มีรวมกันมากถึง 27.8 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.64 เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีปริมาณ 27.37 ล้านตัน
หากเทียบดูจากชีวิตประจำวันของคนไทยแล้ว จะเห็นว่า...ทุกๆ การกินอาหารหนึ่งมื้อของคนไทย จะมีทั้งเศษอาหาร เศษผัก เศษพลาสติก กระป๋องเครื่องดื่ม บางคนมีซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กล่องโฟม และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นผลให้เกิดค่าเฉลี่ยอัตราการเกิดขยะมากถึง 1.15 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน
และมีแนวโน้มว่า ปัญหาขยะมูลฝอยของประเทศไทยจะทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
ที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ในบรรดาขยะมูลฝอยเกือบๆ จะ 30 ล้านตันต่อปี พบว่า...เป็น “ขยะอันตราย” มากกว่า 3 ล้านตัน แต่แม้จะมีสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับขยะมูลฝอยอื่นๆ ทว่า “ขยะอันตราย” กลับสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศมากที่สุด
ความน่ากลัวของมัน คือ มีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี และเป็นขยะอันตรายที่มาจากชุมชน มากถึง 638,000 ตัน
แล้ว “ขยะอันตราย” ที่ว่า...มีอะไรบ้าง? ก็เริ่มตั้งแต่หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาด ปากกาเคมี หรือแม้แต่น้ำยาทาเล็บ ฯลฯ รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย...ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้วในชีวิตประจำวัน เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ปัญหาของขยะอันตรายคือ พวกเรามักจะทิ้งรวมกับขยะมูลฝอยทั่วไป! โอกาสที่มันจะปนเปื้อนกับสิ่งแวดล้อมก็ย่อมมีสูง และผลกระทบของมัน ก็ไม่ได้มีเฉพาะแค่กับพืชไม้ใบหญ้าเท่านั้น แม้แต่ “คน” และ “สัตว์” เองก็ได้รับผบกระทบ ทั้งโดยตรงและทางอ้อมเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่า...มีการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกจากต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต และยังมีการลักลอบทิ้งในหลายพื้นที่ของประเทศด้วย
ปัญหาของ ขยะอันตราย หรือจะเรียกว่าเป็น...ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือขยะพิษ ทั้งหมดล้วนแต่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น...ตะกั่ว แมงกานีส ปรอท หรือแม้แต่สารหนู เมื่อมีการรั่วไหลและกระจายปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
หากคนเราได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะทางใด ก็เหมือนกับการกิน “ยาพิษ” อย่างช้า ๆ อาการหลังได้รับสารพิษก็มีตั้งแต่อาการเบาๆ อย่าง ปวดหัว ง่วงนอน อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ระคายเคืองผิวหนัง ไปจนถึงค่อย ๆ มีผลต่อระบบประสาท กล้ามเนื้อ เสี่ยงถึงขั้นความจำเสื่อม!!
แต่ละปีพบปริมาณขยะตกค้างสะสมอยู่ไม่น้อย โดยปี 2561 พบว่า...มีขยะที่กำจัดไม่ถูกต้องถึง 7.36 ล้านตัน เมื่อนำมาคำนวณแล้ว จะเห็นได้ว่า...”ปริมาณขยะตกค้าง 7.36 ล้านตันนั้น จะมีปริมาตรประมาณมากถึง 24,533,333 ลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับสนามราชมังคลากีฬาสถาน 3 สนามครึ่ง”
ถ้ายังไม่สามารถกำจัดขยะตกค้างสะสมให้หมดได้ 100% ภายในปี 2562 อย่างที่กรมควบคุมมลพิษตั้งเป้าไว้ “สังคมไทยก็จะมีปริมาณขยะตกค้างสูงถึง 8.86 ล้านตัน หรือเทียบเท่าปริมาตรสนามราชมังคลากีฬาสถานเกือบ 4 สนาม และหากอีก 10 ปี ยังมีปริมาณขยะตกค้างเพิ่มอยู่อีก อยู่ที่ประมาณ 10.36 ล้านตัน อาจเทียบเท่ากับสนามราชมังคลากีฬาสถานถึง 4 สนามครึ่ง”
หันมาดูหน่วยงานที่ถูกมองว่าเป็น “ต้นทาง” ที่จะปล่อยหรือไม่ปล่อยให้มีการนำเข้า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” จากต่างประเทศ นั่นคือ...กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
ล่าสุด นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร ออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบ หรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย กันใหม่อีกครั้ง
พร้อมกับย้ำว่า จากเดิมจีนถือเป็นประเทศที่นำเข้าเศษขยะรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ (พิกัด 84 และ 85 ที่มีการกำหนดรหัสสถิติเป็น 800 และ 899) และเศษพลาสติก (พิกัด 3915) ต่อมาจีนเริ่มมีนโยบายในการห้ามการนำเข้าเศษขยะหลายชนิด ประกอบกับผลการประชุมสนธิสัญญาบาร์เซล (Basel Convention) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีมติให้เพิ่มความเข้มงวดของชนิดขยะที่สามารถนำเข้าส่งออกระหว่างกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความยินยอมในการนำเข้าจากประเทศปลายทางด้วย ส่งผลให้ประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป
ดังนั้น จุดหมายการส่งออกเศษขยะ จึงเปลี่ยนมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน และทำให้มีการนำเข้าเศษขยะมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีมาตรการตอบโต้การนำเข้าเศษขยะ โดยเฉพาะเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ห้ามหรือลดการนำเข้าเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับกรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยนั้น อธิบดีกรมศุลกากรย้ำว่า ผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนการนำเข้า แต่เนื่องจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.61 มีมติให้ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซล ทำให้เหลือผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าเพียง 1 รายเท่านั้น
นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.62 มีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วเข้ามาในประเทศ โดยได้อนุมัติร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะทำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... เพื่อกำหนดนิยามและข้อห้ามไม่ให้โรงงานใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงาน พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่จะนำมาถอดแยก เพื่อนำโลหะกลับมาใช้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นมา มีการลดโควตาการนำเข้าของเศษพลาสติกจากหลายแสนตัน เหลือเพียง 70,000 ตัน เท่านั้น จากข้อมูลสถิติการนำเข้าของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำเข้าเศษพลาสติกของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 59 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในปี 62 เนื่องจากมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ
อธิบดีกรมศุลกากร คาดว่า จากนี้อาจมีการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อยู่ รวมถึงแนวโน้มการนำเข้าโดยไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ดังนั้น จึงออกมาตรการใหม่ขึ้นมาเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติก ดังนี้
1.กรมศุลกากรได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ดำเนินการติดตาม กำหนดเป้าหมายต้องสงสัยที่จะกระทำความผิดทางศุลกากร และเข้าตรวจสอบเพื่อติดตามและขยายผลอย่างต่อเนื่อง
2.สั่งการให้ กองสำนักงานและด่านศุลกากรทุกแห่ง เข้มงวดในการตรวจสอบของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก หรือของที่มีการสำแดงพิกัด หรือมีรูปลักษณ์ ใกล้เคียงกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเพื่อป้องกันการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงทางศุลกากร
3.กรณีที่ตรวจพบการกระทำความผิดทางศุลกากรที่เกี่ยวกับของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก กรมศุลกากรจะดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป โดยไม่เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องในชั้นศุลกากร
ทั้งนี้ ในช่วงปีงบประมาณ 61 ถึง 62 กรมศุลกากรสามารถจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงนำเข้าเศษพลาสติกได้ทั้งสิ้น 103 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 4,043 ตัน) โดยในปีงบประมาณ 61 สามารถจับกุมได้ถึง 86 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 3,664 ตัน) และในปีงบประมาณ 62 (ต.ค.61 – พ.ค.62) พบว่าในช่วง 7 เดือน สามารถจับกุมได้แล้วถึง 17 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 379 ตัน)
ถึงตรงนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ขอบอกให้คนไทยทั้งประเทศ ยอมรับรับความจริงที่ว่า...ปัญหาขยะมูลฝอย ทั้งที่เป็นพิษและไม่เป็นพิษนั้น เกิดจากพฤติกรรม “ไร้จิตสำนึกต่อส่วนรวม” ของคนไทยทั้งสิ้น และไม่เพียงแค่นั้น หากยังได้ “แรงหนุน” จากแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในบ้านเรา หลายล้านคน และ “แรงเสริม” จากนักท่องเที่ยวคุณภาพต่ำบางกลุ่ม ที่ร่วมด้วยช่วยกัน ทิ้งขยะสารพัดประเภท...ในทุกๆ พื้นที่ที่อยากจะทำ
แต่จะไปว่ากล่าวเขาได้อย่างไร? ในเมื่อ พฤติกรรม “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” กลายเป็น “ต้นแบบ” ให้คนต่างชาติเหล่านั้นได้ทำตาม
ถึงเวลาหรือยัง? ที่หน่วยงานรัฐจะต้องเอาจริง และคนไทยเองก็ต้องเอาจัง “ร่วมด้วยช่วยกัน” ลดปัญหา...ขยะๆ ในสังคมไทย เริ่มเสียแต่วันนี้...วันที่ภาคเอกชนหลายแห่ง “นำร่อง” ลดละเลิก...ใช้ถุงพลาสติก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข!!!.
โดย กากบาทดำ