คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแผนฟื้นฟูขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไปเรียบร้อยแล้ว คงต้องมีลุ้นกันต่อไปว่า กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่จะขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการตามแผนฟื้นฟู ขสมก. จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าว เนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขสมก. มีแผนนำแผนการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้ให้กับองค์กรนั้น ขสมก. มีพื้นที่ตามผลการศึกษาจำนวน 5 แปลงหลักโดยพบว่าแปลงที่มีความเหมาะสมมากที่สุด จำนวน 2 แปลง ส่วนอีก 3 แปลงยังอยู่ในทำเลที่ยังไม่เหมาะจะนำมาพัฒนาในขณะนี้
ปั้นฮับการเดินทาง และ TOD
ที่ดิน 2 แปลงที่มีความเหมาะสมจะนำไปพัฒนาก่อน ได้แก่ แปลง "อู่บางเขน" ขนาดพื้นที่ ประมาณ 13 ไร่ และแปลง "อู่มีนบุรี" ขนาดพื้นที่ 15 ไร่ โดยที่ดินแปลงมีนบุรี จะเห็นภาพชัดเจนหากรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้มเปิดให้บริการ จะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางขนาดใหญ่ในอนาคตของโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก นับเป็นอีกหนึ่งทำเลทองที่น่าสนใจด้านการลงทุน
อีกทั้งปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ย่านใจกลางตลาดมีนบุรีหากสามารถยกระดับการพัฒนาตลาดรูปแบบไฮมาร์เก็ตจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้คาดว่า จะสามารถประกาศให้เอกชนแสดงความสนใจได้ในปี 2563 ซึ่งภายในปีนี้เร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการรอความชัดเจนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ ขสมก. ต้องการให้เห็นภาพชัดเจนด้านการลงทุนเชิงพาณิชย์มากขึ้น ให้นักลงทุนมีความมั่นใจหากจะมาร่วมลงทุนพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ของ ขสมก.
ลุ้นเสนอ ครม. รัฐบาลใหม่ไฟเขียว
แม้จะออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จแต่ยังติดปัญหาการเสนอเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เนื่องจากวัตถุประสงค์การได้มาซึ่งที่ดินยังไม่ครอบคลุมมากพอ จึงขอเสนอให้กำหนดรายละเอียดครอบคลุมกิจการในการพัฒนาธุรกิจให้ชัดเจนขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายกระทรวงคมนาคม หลังจากนั้น จะเร่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลชุดใหม่เร่งผลักดันต่อไปซึ่งที่ดินทั้ง 5 แปลงนั้น ขสมก. ได้จัดซื้อเองทั้งหมด
สำหรับพื้นที่ 3 แปลงนั้นเบื้องต้นตามผลการศึกษา พบว่า ศักยภาพยังไม่เหมาะสมที่จะนำไปพัฒนาในขณะนี้ โดยแปลงอู่แสมดำ ของเขตการเดินรถที่ 5 ขนาดพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ทางผ่านพื้นที่ถนนส่วนบุคคลเข้าไปลึกประมาณ 100-200 เมตร เช่นเดียวกับแปลงอู่สวนสยาม ขนาดที่ดิน 20 ไร่ ทางเข้าไปประมาณ 100 เมตรจากถนนเมนหลัก ในส่วนแปลงอู่รังสิต ขนาดที่ดิน 20 ไร่ อยู่ด้านหลังตลาดสุชาติ ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรังสิตของรถไฟสายสีแดง ในอนาคตยังพอมีแนวทางการลงทุนหากรถไฟฟ้าเปิดให้บริการ
นายประยูร กล่าวอีกว่า แนวทางการพัฒนาพื้นที่ ขสมก. จะเปิดเชิญชวนให้เอกชนเช่าพื้นที่ไปพัฒนาซึ่งรูปแบบที่ ขสมก.ต้องการจะให้เป็นไปในรูปแบบการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน(ทีโอดี) ให้มีทั้งอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ช้อปปิ้งมอลล์ โดยแนวคิดการพัฒนาจะต้องหารือกันทั้งเอกชน และ ขสมก. ต่อไป
“ขสมก. ต้องการให้เป็นสถานีรถเมล์ที่เชื่อมต่อการเดินทางขนาดใหญ่โดยไม่ต้องเอารถมาจอดจำนวนมากเช่นในปัจจุบัน หมุนเวียนรถเข้ามารับ-ส่งผู้โดยสารแล้วเอาพื้นที่ไปหาประโยชน์อย่างอื่นที่ก่อให้เกิดรายได้กับ ขสมก. เพื่อปลดภาระหนี้ ไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลอีกต่อไป โดยจะนำรถส่วนที่เหลือไปจอดตามจุดต่างๆที่เหมาะสม เบื้องต้นกำหนดว่าในปี 2566 อี-บิดด้าจะเป็นบวก ปี 2574 จะมีกำไรจากการลงทุนดังกล่าว ซึ่งเงินกู้ที่นำมาลงทุนต่างๆจะทยอยใช้คืนไปจนถึง 2586 ให้ครบทั้งหมด โดยภาระหนี้จากจำนวนบุคคลากรยังเป็นสัดส่วนมากถึง 40% จึงมีการเออร์รี่รีไทร์ให้ลดเหลือประมาณ 30%“
นายประยูร ยังกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของ ขสมก. ว่า ประการสำคัญเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ทั้งรถใช้เชื้อเพลิงไฮบริดจ์ ใช้ระบบไฟฟ้า(EV) จะทำให้ค่าเชื้อเพลิงลดลงได้ไม่น้อยกว่า 50% จากในปัจจุบัน เช่นเดียวกับค่าซ่อมบำรุง ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรถและพลังงานจึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของ ขสมก. ไปได้อย่างมาก
เช่นเดียวกับเดินหน้าโครงการรีแบนด์ดิ้งองค์กร จะต้องให้เป็นที่ยอมรับของพนักงานและสาธารณชน โดยจะดำเนินการควบคู่กันไป ทั้งภาพลักษณ์ของพนักงาน การแต่งกาย การบริการ จะต้องปรับปรุงให้ต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับของประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้โดยเร็ว ดังจะเห็นได้จากการสร้างพนักงานต้นแบบหลายรุ่นต่อเนื่องกันไป
สำหรับความก้าวหน้าของการจัดทำแผนฟื้นฟูนั้นปัจจจุบัน ขสมก. จัดทำแผนการพัฒนาควบคู่กันไปและคืบหน้าอย่างมาก โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาหลังจากนั้นกลับมานำเสนอกระทรวงคมนาคมเร่งสรุปการจัดหารถเสนอครม.ต่อไป พร้อมกันนั้นยังเร่งจัดทำทีโออาร์และรับฟังความเห็นให้ครบถ้วน หาก ครม. อนุมัติก็สามารถดำเนินการตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที
ในส่วนโครงการเออรี่รีไทร์พนักงานได้สำรวจความเห็นพร้อมกับได้กำหนดแผนรองรับไว้ในแต่ละปีให้สอดคล้องกัน ซึ่งฝ่ายที่ไม่จำเป็นจะได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการที่แต่งขึ้นก่อน ส่วนฝ่ายที่จำเป็นก็ยังคงให้ทำหน้าที่ต่อไป เช่นเดียวกับบางตำแหน่งที่อยากปรับเปลี่ยนหน้าที่ก็จะแนะนำให้เพิ่มศักยภาพให้ความรู้กันต่อไป เช่นกรณีการลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงาน ขสมก. ได้ศึกษาต่อในสาขาวิชาที่ ขสมก.ยังขาดแคลน อาทิ ไอที บัญชี กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
“จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถด้านเฉพาะทางเข้ามาทำหน้าที่มากขึ้น ผู้เรียนออกทุนเอง ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าได้มอบสิทธิพิเศษให้ ขสมก. เป็นกรณีเฉพาะ โดยเบื้องต้นพบว่า พนักงานจัดเก็บค่าโดยสารให้ความสนใจไปศึกษาในโครงการนี้รุ่นละ 200 คน ระยะเวลาเรียนประมาณ 2-3 ปี เรียนทุกวันเสาร์ของแต่ละสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป”