จับตาการเมืองหลังเลือกตั้ง หลังกลุ่ม ส.ว.ประกาศกร้าว ไม่ยกมือหนุน “เพื่อไทย-ก้าวไกล” จัดตั้งรัฐบาล พร้อมเย้ยหยัน หากอยากได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ต้องยืนได้ลำแข้งตัวเอง รวบรวมเสียง ส.ส.ให้ได้376ที่นั่ง ท่ามกลางกระแส “บิ๊กป้อม” แบะท่า จับมือ “เพื่อไทย “ เปิดทางให้ “ทักษิณ” กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน จุดชนวนความไม่พอใจจนอาจเกิดสถานการณ์ร้อนระอุอีกครั้ง
จุดพลุเปิดประเด็นร้อน! ก่อนลงคะแนนหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพียง1วัน กรณีของ "เฉลิมชัย เฟื่องคอน" สมาชิกวุฒิสภา ระบุเปรี้ยง ดังๆ ว่า หาก "เพื่อไทย" หรือ "ก้าวไกล" อยากได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อย่าคิดหวังพึ่งเสียงของ ส.ว.แต่ ต้องรวมเสียง ส.ส.ให้ได้ 376 ที่นั่ง
นั่นหมายความว่า ส.ว.จะไม่โหวตให้!
โดย "เฉลิมชัย" อดีตผู้ว่าฯ เมืองอุตรดิตถ์ ในฐานะ ส.ว.แต่งตั้ง แสดงความเห็นในการโหวตเลือกนายกฯ ว่า ส่วนตัวมีจุดยืนชัดเจน ฝ่ายใดรวบรวมเสียงข้างมากได้เกิน 250 เสียง จะโหวตให้ฝ่ายนั้น เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นคนของ "เพื่อไทย" หรือ "ก้าวไกล" ก็พร้อมโหวตให้
แต่กับ ส.ว.คนอื่นๆ ตนไม่กล้าการันตีว่า จะคิดแบบเดียวกันหรือไม่ ดังนั้น ถ้าฝ่ายใดอยากเป็นนายกฯ ก็เป็นหน้าที่ต้องไปรวบรวมเสียง ส.ส.ให้ได้ถึง 376 เสียงเอง อย่ามาหวังพึ่ง ส.ว. ถ้าพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทำแลนด์สไลด์ได้ก็สิ้นเรื่อง ปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่ามาหวังกับ ส.ว.เพราะเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ ส.ว.บางส่วนอาจจะโหวตงดออกเสียง ทำให้ได้ไม่ถึง 376 เสียง ฝั่ง ส.ส.ก็ต้องจับขั้วรวบรวมเสียงกันมาใหม่ ดังนั้น ใครอยากเป็นนายกฯ ต้องไปรวมเสียงมาให้ถึง "ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง" อย่ามาหวังอะไรกับ ส.ว. ส่วนที่บอกว่ามี ส.ว.อิสระ 50 เสียง พร้อมโหวตให้ฝ่ายที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ถึง 250 เสียงนั้น ยังเชื่อว่า ส.ว.ส่วนใหญ่โหวตมีความเห็น ไปทางเดียวกัน ส่วน ส.ว.กลุ่มอิสระ มีไม่ถึง 20 เสียง
กรณีดังกล่าวนี้ ย่อมสร้างความหวั่นไหวให้กับกลุ่ม "เสรีประชาธิปไตย" ไม่น้อย เพราะจากผลสำรวจของโพลส่วนใหญ่แล้ว มองว่าหลังการเลือกตั้ง ไม่มีพรรคการเมืองใด จะสามารถสร้างสถิติ ทำ "แลนด์สไลด์" ได้อย่างประกาศไว้ จึงจำเป็นต้องจับมือ จากขั้ว "อนุรักษ์นิยม" มาเติมเสียงให้ถึงฝั่ง
ทว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ??? ในเมื่อ ทั้ง "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร และ “พิธา ลิมเจริญรัตน์” รวมทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” 3 แคนดิเดตนายกฯ จาก ”เพื่อไทย-ก้าวไกล” ต่างและล้วน เคยประกาศกร้าวไว้ บนเวทีหาเสียง ว่า "มีเราไม่มีลุง" และ ไม่มีวันร่วมมือกับพรรคที่มาจาก "รัฐประหาร" เท่ากับ ผูกมัดตัวเองไปแล้ว! การจะมา เปลี่ยนท่าที "พลิกลิ้น" ในภายหลัง เป็นไปได้ยากยิ่ง
ดังนั้น จึงมี “นักวิเคราะห์การเมือง” เกรงกันว่าจะมีการดิ้นรนจากบางพรรคบางขั้ว ช่วงชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ไม่ได้เป็นพรรคชนะอันดับ 1
สอดคล้องที่เกิดกระแสข่าวตั้งแต่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งว่า จะมี "สูตรตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย" โดยรวมเสียงของพรรคขั้วอำนาจเดิม กับ 250 ส.ว. แล้วตีความให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ เพื่อชิงตั้งรัฐบาล
และเป็นกระแสข่าวที่มีความเคลื่อนไหวรองรับเสียด้วย เพราะมีมือกฎหมายคนดังอย่าง ดร.วิษณุ เครืองาม เจ้าของฉายา "เนติบริกร" มาช่วยอธิบายว่าทำได้อย่างนั้น อย่างนี้ นักวิเคราะห์การเมือง จึงเชื่อถ้าทำกันแบบนี้จริงๆ สถานการณ์หลังเลือกตั้งร้อนระอุแน่ !
ยิ่งการเลือกตั้งหนนี้ชัดเจนว่า ประชาชนตื่นตัวกันมาก เห็นได้จากจำนวนคนรับฟังการปราศรัยของพรรคการเมืองในเวทีต่างๆ แน่นขนัด มืดฟ้ามัวดิน มีการแสดงออกจากประชาชนหลายๆ ประการ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญ ที่จะได้ใช้อำนาจในมือประชาชน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไปสู่สิ่งใหม่ สิ่งที่ดีกว่า
ดังนั้น ถ้าหากเสียงของประชาชนที่ไปเข้าคูหากาคะแนน ซึ่งปรากฏเป็นผลการเลือกตั้ง บ่งบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่เทเสียงให้พรรคไหนได้ ส.ส.มากที่สุด สมควรเป็นนายกฯ เป็นผู้ตั้งรัฐบาล แล้วถ้าถูกเบี่ยงเบนแบบปี 2562 อีก มาปี 2566 นี้ ความไม่พอใจของประชาชนเจ้าของอำนาจ จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอะไรตามมาหรือไม่ ???
ที่สำคัญ ผลการสำรวจมากมายบ่งบอกในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า กระแสของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย มาแรงอย่างมากๆ ทำให้ความคาดหวังของประชาชนมองไกลไปแล้วว่า จะเห็นใครเป็นนายกฯ จะเห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่เป็นอย่างไร ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว เป็นไปตามคาดหวัง แต่ถูกดับฝันเพราะการดิ้นรนของกลุ่มอำนาจที่พ่ายแพ้ รวมเสียง ส.ว.จัดตั้งส่วนใหญ่ ไม่ยอมเล่นด้วย
และยังขืนดิ้นรนเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยอาศัยเสียง ส.ว.มาร่วมโหวตนายกฯ ก็ต้องบอกว่า ความร้อนระอุจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน!
กระนั้นก็ตามที มีความเคลื่อนไหวบางประการ ที่บ่งบอกว่า การเมืองหลังการเลือกตั้ง จะเกิดการเจรจาต่อรองแบบ "เหนือเมฆ" ขึ้นมา นำไปสู่สูตรการจัดตั้งรัฐบาลที่ผสมผสานระหว่าง พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ชนะเป็นอันดับหนึ่ง กับ พรรคการเมืองขั้วอำนาจเดิมบางพรรค ซึ่งชัดเจนว่า..
นั่นคือ "พลังประชารัฐ" ของ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ชูนโยบาย "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" คุยได้กับทุกฝ่าย และ จะขอปฏิบัติภารกิจสุดท้ายในชีวิต เพื่อประเทศชาติ ให้เดินหน้าไปต่อได้
จุดสำคัญข้อหนึ่งที่น่าคิดก็คือ กรณี นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศขอกลับประเทศไทยเพื่อมาเลี้ยงหลาน พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เป็นภาระให้พรรคเพื่อไทย พูดง่ายๆ ว่า เพื่อไทย ไม่ต้องมาออกกฎหมาย ”นิรโทษกรรม” ให้
“ทักษิณ” ระบุวันเวลาด้วยว่า จะกลับมาในช่วงเดือนกรกฎาคม ก่อนถึงวันเกิดตนเอง บอกอีกด้วยว่า จะกลับมาในช่วงที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังรักษาการอยู่ จึงเป็นคำประกาศกลับไทยที่น่าขบคิดวิเคราะห์ได้หลายแง่มุมจริงๆ
จริงอยู่ ในคืนวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม มีผลคะแนน ส.ส.ออกมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ก็พอจะเห็นได้แล้วว่า พรรคไหนชนะเป็นอันดับ 1 ซึ่งควรเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และพรรคอื่นๆ ผลออกมาเป็นเช่นไร ทำให้เห็นสูตรตั้งรัฐบาลได้แล้ว
แต่ทางด้านกระบวนการของ กกต.เอง ยังต้องใช้เวลาในการตรวจสอบผล รับข้อร้องเรียน ตรวจสอบข้อร้องเรียนก่อน กว่าจะประกาศรับรองผล ส.ส.แต่ละราย ต้องใช้เวลาไม่น้อย
ประมาณว่า กว่าจะรับรองผลอย่างเป็นทางการได้เป็นส่วนใหญ่ จะต้องใช้เวลาถึงราวกลางเดือนกรกฎาคม หรือราว 2 เดือนหลังเลือกตั้ง กว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้จริงๆ ก็เป็นช่วงสิงหาคม ดังนั้น คำประกาศกลับบ้านของ “ทักษิณ” ที่ระบุว่าจะมาในเดือนกรกฎาคม จึงมีการระบุด้วยว่า อยู่ในช่วงที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ยังเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่
ถ้าหากทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงนั้นจริงๆ โดยที่ไม่มีการนิรโทษกรรมใดๆ มารองรับ เท่ากับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจริงๆ โดยอำนาจในขณะนั้นยังอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าคิดอย่างมากๆ และน่ามองถึงการเมืองหลังเลือกตั้งอย่างยิ่ง!
การประกาศกลับไทยของทักษิณ ตีความได้ 2 มุม โดยมุมหนึ่งแค่ “ปลุกกระแส” ให้ช่วยกันออกมาเลือก “เพื่อไทย” ให้เป็นรัฐบาลเพื่อชนะเด็ดขาดให้ได้ หรืออีกมุมเป็นการเตรียมตัวกลับมาจริงๆ งวดนี้มาแน่นอน กำหนดเดือนกรกฎาคมนี้
ถ้าเป็นประการหลัง อดไม่ได้ที่จะมองว่า ต้องมีการ “เจรจาต่อรอง” อะไรกันบางประการ เพราะรู้กันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า เพื่อไทย ชนะได้ ส.ส.เป็นอันดับหนึ่ง แน่ๆ ต้องเป็นแกนหลักตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน ประเด็นนี้แหละ อาจนำไปสู่การ "ตั้งโต๊ะ" พูดคุยอะไรกันมาก่อนแล้ว จนนำมาสู่ความมั่นใจ ว่าจะกลับบ้าน
โดยจุดสำคัญของการเจรจา คงไม่พ้นสูตรจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเพื่อไทยเป็นแกนนำควรจะผสมกับพรรคไหน
ดังนั้น การผสมข้ามขั้วการเมือง ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาดว่า มีการตกลงกันได้เรียบร้อยลงตัวแล้ว จึงทำให้ทักษิณเตรียมตัวจะกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน หลังจากต้องไปอยู่ต่างแดนเกือบ 17 ปี
ถ้าเป็นไปตามนี้ สูตรรัฐบาลหลังเลือกตั้ง คงไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก เพียงแต่อาจจะเป็นสูตรผสมที่คนในสังคมนึกไม่ถึง มองแง่นี้ การเมืองหลังเลือกตั้ง อาจจะไม่ร้อนระอุมาก การตั้งรัฐบาลอาจจะง่ายดายขึ้น เพราะ 2 ขั้วตกลงกันได้ ร่วมมือกันได้
แต่ผลอีกด้าน อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับประชาชนที่ตื่นตัว และปรารถนาให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะหากมีการเปิดดีลลับๆ เจรจาลับๆ มักจะมีการต่อรองจนทำให้โฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ไม่สวยงามมากนัก ความผิดหวังจากประชาชนบางส่วนคงเกิดขึ้น
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่า จะเป็นจริงขนาดไหน เรียบร้อยลงตัวขนาดไหน อะไรจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ในช่วงการตั้งรัฐบาลใหม่ ยังต้องเฝ้ามองกันต่อไป!
เพราะสัจธรรมทางการเมืองไทยที่พิสูจน์มาแล้ว หลายยุค หลายสมัย ว่า "ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูถาวร"