ขณะที่กระทรวงการคลังยกร่าง พ.ร.บ.การกำกับผู้ให้บริการทางการเงิน พ.ศ.....ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไป เมื่อ 10 ตุลาคม 2561 ซึ่งมีเนื้อหาจะให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับผู้ให้บริการทางการเงิน เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจในกำกับของกระทรวงการคลัง
แต่คล้อยหลังไม่ถึง 3 เดือนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลับออกประกาศ 2 ฉบับ ที่ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไน ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อที่จะเข้ามาจัดระเบียบธุรกิจปล่อยกู้ รวมไปถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่นัยว่ามีพอร์ตใหญ่กว่า 200,000 ล้าน บาทในปัจจุบัน
ทำเอาทุกฝ่ายได้แต่กังขา ตกลง “คลัง-ธปท.” กำลังเล่นอะไรกัน!!!
วางเกณฑ์คิดดอกเบี้ยสุดลักลั่น
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะเข้ามาจัดระเบียบการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งในส่วนสถาบันการเงินภายใต้การกำกับและผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) นั้น ยังคงมุ่ง “ตีทะเบียน” ผู้ประกอบการเหล่านี้
โดยกำหนดเงื่อนไข สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินภายใต้การกำกับ ที่จะให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อที่มืทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบการต่อ รมว.คลังผ่าน ธปท.
มีการแยกประเภทธุรกิจเป็น “ระดับประเทศ” หรือ “นาโน ไฟแนนซ์” และระดับจังหวัด หรือ “พิโก ไฟแนนซ์” กำหนดวงเงินสินเชื่อที่ผู้รับใบอนุญาตจะพึงให้บริการแก่ลูกหนี้ผู้ใช้บริการ ซึ่งพิจารณาจากฐานรายได้และเงินหมุนเวียนในบัญชีเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การกำกับดูแลผู้ประกอบการที่จะเข้าสู่ธุรกิจนี้ ที่หากเป็นผู้ประกอบการที่ขอรับใบอนุญาตในระดับประเทศ ธปท.กลับกำหนดให้ผู้ประกอบการคิดดอกเบี้ย ค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมกันได้ไม่เกิน 28% ขณะที่ผู้ประกอบการที่ให้บริการในระดับจังหวัด หรือพิโก ไฟแนนซ์ กลับเปิดโอกาสให้คิดดอกเบี้ย ค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ ได้สูงถึง 36%
ทั้งที่การให้บริการในระดับประเทศ ที่มีสาขากระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ นั้น มีต้นทุนดำเนินการที่สูงกว่า แต่กลับถูกกดให้คิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บได้ต่ำกว่า
คุม License หรือแค่ “ยันต์กันผี”
ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้เปิดให้บรรดานายทุนเงินกู้นอกระบบเข้ามาตีทะเบียนเป็นผู้ให้บริการิสินเชื่อเพื่อประกอบวิชาชีพอิสระ “นาโน ไฟแนนซ์” ผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย และสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด “พิโก้ ไฟแนนซ์” ซึ่งก็มีผู้ประกอบการพาเหรดกันเข้ามาตีทะเบี้ยนคึกคัก
โดยมีผู้ประกอบธุรกิจที่มาขึ้นทะเบียนขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ เกือบ 30 ราย มียอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2560 อยู่ราว 4,700 ล้านบาทเศษ ขณะที่ผู้ให้บริการพิโก ไฟแนนซ์ที่มาขึ้นทะเบียนทั้งประเทศร่วม 500 รายนั้น กลับมียอดหนี้คงค้างทั้งระบบ เมื่อกลางปี 61 เพียง 23,000 บัญชี มูลหนี้คงค้างรวมเพียง 600 ล้านบาทเศษเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทั้งระบบที่มียอดเกิน 200,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
แต่กระนั้นกลับยังคงปรากฏว่า บรรดานายทุนเงินกู้นอกระบบ รวมไปถึงผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ก็ยังคงสร้างปัญหาให้กับประชาชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อ ด้วยเหตุที่ “มาตรการปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลัง และ ธปท.ที่ผ่านมานั้น เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด เพราะมุ่งแต่ตีทะเบียนนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ไม่ได้จดทะเบียนขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจกับกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติเท่านั้น โดยไม่ได้ลงไปดูเลยว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตไปเหล่านั้น ต่างอาศัยใบอนุญาตจากทางการเป็นเครื่องมือปล่อยกู้ และจัดทำสัญญาเงินกู้ที่เอาเปรียบลูกหนี้ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขใบอนุญาตแต่อย่างใด
อย่างเช่นการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มีการคิดดอกเบี้ยสูงถึง 25-40% โดยมีการบังคับหลักประกันเอากับลูกหนี้ ที่อ้างเป็นการปล่อยสินเชื่อนาโน หรือพิโก ไฟแนนซ์นั้น หน่วยงานภาครัฐกลับไม่เคยล้วงลูกลงไปดูเลยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามใบอนุญาตที่ให้หรือไม่ หรือเป็นการดำเนินการที่ขัดพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2561 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม กรณีปล่อยเงินกู้โดยยึดเอาหลักประกันได้ไม่เกิน 15%
“แม้การให้สินเชื่อนาโน หรือพิโก ไฟแนนซ์ ตามใบอนุญาตที่กระทรวงการคลังให้ จะสามารถคิดดอกเบี้ยได้สูงถึง 28-36% แต่ต้องเป็นสินเชื่อไร้หลักประกัน หรือ P Loan เท่านั้น หาใช่เป็นสินเชื่อที่เจ้าหนี้จะมายึดเอาทะเบียนรถมาเป็นหลักประกัน การตีทะเบียนธุรกิจเหล่านี้ที่คลัง และ ธปท.ดำเนินการไป จึงเท่ากับเปิดให้เจ้าหนี้หรือผู้ประกอบการอาศัยใบอนุญาตมาเป็นยันต์กันผี โขกดอกเบี้ยเอากับลูกหนี้ได้สูงลิ่วเช่นเดิม”
สิ่งเหล่านี้ภาครัฐทั้งคลัง-ธปท.กลับไม่เคยลงได้ลงไปตรวจสอบ!
ล่าสุดยังเกิดกรณีสุดประหลาด ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ บริษัทลูกของธนาคารรัฐอย่าง KTC ยังดอดสยายปีกจะลงไปให้บริการสินเชื่อนาโน และพิโก ไฟแนนซ์ ด้วย โดยไม่ดูเลยว่า เจตนารมณ์ในการที่คลังและธปท.ผลักดันการตีทะเบียนสินเชื่อนาโน ไฟแนนซ์ และพิโก ไฟแนนซ์มานั้น เป็นไปเพื่อการใด
จึงไม่น่าแปลกใจ ขณะที่กระทรวงการคลังตีปี๊บความสำเร็จอันยิ่งยวดในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ดึงนายทุนเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบเข้ามาตีทะเบียนทั้งนาโนไฟแนนซ์ และพิโก ไฟแนนซ์ แต่เรากลับเห็น “ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน (ศปฉช.ตร.)” ที่มี “บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” และ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นหัวเรือใหญ่ ยังคงลุยปราบปรามยึดทรัพย์บรรดานายทุนเงินกู้นอกระบบที่มีพฤติกรรมการปล่อยกู้ฉ้อโกงประชาชนกันเป็นกุรุด
แต่ละวันศูนย์ปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบ สามารถยึดทรัพย์สินทั้งโฉนดที่ดิน บ้าน รถยนต์ จักรยานยนต์ ทะเบียนรถ ทะเบียนบ้านคืนให้แก่ประชาชนผู้เสียหายที่ต้องตกเป็นเหยื่อกันเรือนหมื่น เรือนแสนคน มูลค่านับพันล้านในแต่ละพื้นที่ อย่าง ตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งจัดพิธีคืนโฉนดลูกหนี้ไปเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 61 จำนวนกว่า 3,183 ไร่ และยังมีรถจักรยานยนต์อีก 102 คัน รถยนต์อีก 298 คัน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่คืนทั้งสิ้นกว่า 2,900 ล้านบาท
ยังไม่รวมที่จับเอานายทุนเงินกู้นอกระบบมาเข้าห้องเย็นเพื่อเจรจาประนอมหนี้กับลูกหนี้ทั้งหลายเพื่อให้เป็นไปตามครลองกฎหมายอีกพะเรอเกวียน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็น มาตรการที่คลังและธปท.ดำเนินการไปในช่วงที่ผ่านมาและที่กำลังตีปี๊บจัดระเบียบเงินกู้นอกระบบอยู่เวลานี้
ก็แค่ปาหี่แก้หนี้รนอกระบบเท่านั้นเอง!!!