“แสนสิริ” ของว่าที่นายกฯ คนใหม่ “เศรษฐา ทวีสิน” ออกแถลงการณ์ ยืนยันซื้อที่ดินทองหล่อถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมดำเนินคดีกับผู้บิดเบือนข้อมูล ทำให้ชื่อเสียง ขณะที่จอมแฉ “ชูวิทย์” ตั้งโต๊ะแฉแสนสิริปล่อยกู้ “แม่บ้าน-รปภ.” ทำนิติกรรมอำพรางซื้อที่ดิน 1,000 ล้าน!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้นำเสนอข้อมูลบิดเบือนพาดพิง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับวิธีการจัดซื้อที่ดินของแสนสิริ ว่ามีการดำเนินการโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้สาธารณชนเข้าใจคลาดเคลื่อน และทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า
ในการสรรหาและจัดซื้อที่ดินของแสนสิริ ถูกต้องตามกฏหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ในทุกขั้นตอน บริษัทฯ มีแนวทางการพิจารณาการจัดซื้อที่ดินอย่างชัดเจน ผ่านการประเมินความเสี่ยงในหลากหลายมิติ โดยก่อนการอนุมัติจัดซื้อที่ดินของแสนสิริ แต่ละแปลง จะมีทีมสรรหาที่ดินที่มีความเชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลขั้นต้นและข้อมูลรายละเอียดของที่ดินที่ได้รับการเสนอขาย โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียด ทั้งในเชิงมหภาค การขยายตัวของเมือง ประชากร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงพิจารณาราคาตามกลไกของตลาด ทำเลที่ตั้งของที่ดิน การสำรวจตลาดคู่แข่ง เงินลงทุน กำไรที่คาดว่าจะได้รับอย่างละเอียด ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
กรณีที่ดินทองหล่อ (KHUN by YOO) แสนสิริ และบริษัทย่อยของแสนสิริ กรรมการและผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว แสนสิริ ซื้อที่ดินทองหล่อในปี 2559 ในราคา 1,100,000 บาทต่อตารางวา จากบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมเทียบเคียงกับราคาตลาด
ดังนั้น ตามที่มีการกล่าวอ้างว่า แสนสิริซื้อที่ดินราคาแพง ควรจะซื้อแค่ 565 ล้านบาท หรือเท่ากับตารางวาละ 650,000 บาทเท่านั้น เป็นการพูดที่ไม่สมเหตุผล เพราะไม่มีเจ้าของที่ดินรายใดที่มีที่ดินอยู่ในซอยทองหล่อจะขายที่ดินในราคาดังกล่าว อีกทั้ง บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นธรรมดาที่เจ้าของที่ดินจะต้องขายที่ดินที่มีกำไร คงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมขายในราคาตารางวาละ 650,000 บาท ที่ต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ ไม่เคยให้กู้ยืมเงินแก่ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด โดยมีหลักฐานที่อยู่ในสัญญาจำนองฉบับกรมที่ดิน (เอกสารแนบ) ว่าการจำนองดังกล่าวเป็นการจำนองเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินของผู้ขายเพื่อให้ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน
รวมถึงการดำเนินการเคลียร์ผู้เช่า ในที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยปลอดจากภาระผูกพันใดๆ และเมื่อผู้ขายได้ดำเนินการครบถ้วนเสร็จสิ้นแล้ว แสนสิริ จึงได้ดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวและจัดทำเป็นโครงการอาคารชุดที่มีการขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าแล้ว
ยอมรับว่า ขณะนี้ แสนสิริ อยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการทางกฏหมายต่อผู้กระทำการบิดเบือนข้อมูล และทำให้ชื่อเสียงแสนสิริ ได้รับความเสียหาย แสนสิริ ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้.
ในวันเดียว ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เจ้าของฉายาจอมแฉ ได้แถลงข่าวโดยระบุว่า แสนสิริมีพฤติกรรมอำพรางซื้อที่ดินโยงนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แสนสิริฯ ว่า มีการใช้นอมินี่ที่เป็นแม่บ้านและ รปภ. กู้เงินแสนสิริ 1,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อที่ดิน ซึ่งมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย และทำให้แสนสิริซึ่งเป็นบริษัทมหาชนเสียหาย และการกระทำดังกล่าวไม่โปร่งใส มีเงื่อนงำ
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ โพสต์ระบุว่า.. แม่บ้าน มหาสารคาม รปภ. ร้อยเอ็ด ซื้อที่ดินทองหล่อ 1,000 ล้าน ด้วยเงินกู้จากแสนสิริ แสนสิริออกแถลงการณ์ตอบโต้ ขอแจงเป็นข้อๆ ดังนี้
1. บ. เอ็น แอนด์ เอ็น มีแม่บ้านจากมหาสารคาม ถือหุ้น 99.998 % ที่เหลือ เป็น รปภ. 2 คน แม่บ้านเลี้ยงเป็ดไก่ ไม่เคยเสียภาษี และ รปภ. 2 คน ก็เสียภาษีปีละ 500 บาท ย่อมไม่มีทางซื้อที่ดินใจกลางทองหล่อ และกู้เงินจาก บ.แสนสิริ หรือ บริษัทลูกของแสนสิริได้ 1,000 ล้านบาท
2. ที่ดินทองหล่อที่แสนสิริซื้อมาจาก บ. เอ็น แอนด์ เอ็น อ้างว่าราคาตารางวาละ 1.1 ล้านบาท เหมาะสมกับราคาตลาด ณ ขณะนั้น แต่ราคา 565 ล้านบาท หรือตารางวาละ 650,000 บาท ในปี 2558 มีระบุในทางบัญชีด้วยทุนจดทะเบียนของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น 100 ล้านบาท ที่ชำระแล้ว และหนี้จากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อีก 465 ล้านบาท เป็นราคาที่บันทึกตามหลักบัญชี หากมีการจ่ายใต้โต๊ะเพิ่มอีก ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทราบได้ เพราะแม่บ้าน และ รปภ. คงไม่มีความสามารถในการกระทำแบบนั้น
จึงต้องดูหลักฐานว่า บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ชำระไปตามมูลค่าที่บันทึกทางบัญชีเท่าไหร่ ราคาที่อ้างว่าเหมาะสม ไม่มีหลักฐานอื่นว่า จ่ายเงินแพงกว่านี้ แต่เจ้าของ เอ็น แอนด์ เอ็น คนเก่า ซื้อที่มาตั้งแต่ปี 2551 ราคาตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 290,000 บาทต่อตารางวา การพูดของแสนสิริ จึงไม่มีหลักฐานพิสูจน์ใดๆ แต่ผมมีหลักฐานทุกอย่าง
3. เจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น เดิม ได้ขายบริษัทให้ “นอมินี” อันมี แม่บ้าน และ รปภ. ถือหุ้น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่บริษัทลูกของแสนสิริ คือ บ. อาณาวรรธน์ จำกัด ให้ “แม่บ้าน กับ รปภ.” กู้เงิน 1,000 ล้านบาท เอาไปปลอดจำนองที่ดินจากธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และซื้อหุ้นจากเจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น คนเก่า เมื่อแสนสิริ ซื้อที่ดินมาในปี 2559 หลังจากตัวเองให้กู้เงิน 1,000 ล้านบาทไป จึงเป็น “พฤติการณ์ซ่อนเร้น” ของแสนสิริ ที่ต้องรู้ว่าการให้กู้ถึง 1,000 ล้านบาท ในขณะที่มี “แม่บ้าน กับ รปภ.” เป็นเจ้าของบริษัทแบบ 100% เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล
4. บ. อาณาวรรธน์ “ให้กู้เงิน 1,000 ล้านบาท” และทำสัญญาจำนองที่ดินไว้อย่างชัดเจน แต่ครอบไว้ด้วย “สัญญาจะซื้อจะขาย” เป็นเงื่อนไขแนบท้าย อันเป็นเรื่องผิดวิสัย หากจะซื้อก็ซื้อได้ แต่ทำไมต้องให้จำนองเอาไว้ด้วย โดยมีรายงานการประชุมของทั้ง 2 บริษัท ที่ขอจำนอง (บริษัทนอมินี) และผู้ให้จำนอง (บ. อาณาวรรธน์ บริษัทลูกของแสนสิริ) ที่กรมที่ดินเป็นหลักฐาน
สรุปได้ว่า บริษัทนอมินีที่มี แม่บ้าน กับ รปภ. เป็นเจ้าของ ได้เงินส่วนต่างไป 435 ล้านบาท และต่อมาทิ้งให้บริษัทนี้ร้าง โดยไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี
หลักฐานทั้งหมดได้ส่งให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) พิจารณาการกระทำของแสนสิริในการใช้เงินของผู้ถือหุ้น โดยในขณะนั้น บ.แสนสิริ และ บ.อาณาวรรธน์ มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นกรรมการ และอยู่ในที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติทั้งให้กู้ และซื้อที่ดิน
แสนสิริ ชี้แจงแบบผ่านๆ โดยไม่เอ่ยถึงผู้ถือหุ้น บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่เป็นแม่บ้าน กับ รปภ. ที่ “ทำธุรกรรม 3 อย่างในวันเดียวกัน” คือ
1. เข้าซื้อ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น 100 ล้านบาท
2. ไถ่ถอนจำนองที่ดินจาก LH Bank 465 ล้านบาท
3. บริษัทลูกของแสนสิริให้กู้ 1,000 ล้านบาท
ยังเหลือเงินที่ไม่ได้ใช้อีก 435 ล้านบาท
ทั้ง 3 ขั้นตอน เกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน คือ 11 กุมภาพันธ์ 2558
หลังจากนั้นปี 2559 แสนสิริก็มาซื้อที่ดินจากแม่บ้าน และ รปภ. ในราคา 957 ล้านบาท
คำถามง่ายๆ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่มี “แม่บ้าน และ รปภ.” ถือหุ้นใหญ่ จะสามารถมีเงินไปซื้อที่ดินทองหล่อได้หรือไม่?
เงินทอนตกหล่นไปอยู่ที่ใคร?
วานบอกที