
กำลังกลายเป็นประเด็นที่โลกออนไลน์พากันให้ความสนใจอย่างหนักอยู่ในขณะนี้
กับเรื่องราวของ “ร้านอาหารลูกไก่ทอง” และ “ร้านปังชา” ที่ป่าวประกาศผ่านทางเฟซบุ๊ก “Lukkaithong – ลูกไก่ทอง Thai Royal Restaurant” เกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ชื่อเมนู “ปังชา” ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้ว พร้อมอ้างอิงพระราชบัญญัติคุ้มครองเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เน้นย้ำสงวนสิทธิ์ห้ามลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข

ก่อนที่ร้านดังกล่าวจะให้ทนายส่งโนตี๊สไปยังร้านขนมปังปิ้งเล็กๆ ชื่อ “ปังชา” ที่ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นร้านขาย ชา กาแฟ น้ำแข็งไส และขนม โดยอ้างว่า ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของตนเองที่ได้จดทะเบียนคุ้มครองเอาไว้ ขอให้ยุติการละเมิด ก่อนเรียกค่าเสียหาย 102 ล้านบาท ระบุให้ต้องจ่ายค่าเสียหาย ภายใน 7 วัน หากเพิกเฉยจะคิดค่าปรับและความเสียหายอีกวันละ 10,000 บาทต่อ 1 ร้าน ทำเอาเจ้าของร้านปังชาในจังหวัดเชียงรายถึงกับเครียดกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่รู้ว่าร้านของตนไปละเมิดเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร “ปังชา” ได้อย่างไร
อีกรายที่โดนร้านปังชารายนี้ยื่นโนตี๊สฟ้องร้องอยู่ที่ จ.สงขลา ร้านชื่อ "ทางช้างเผือก" ตั้งอยู่ภายในซอย 4 ถ.ศุภสารรังสรรค์ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเจ้าของร้านชื่อ น.ส.ปัณณ์ปรุฬห์ กาญจนโสรัตน์ อายุ 30 ปี ได้ออกมาโอดโอยยกับสื่อว่าได้รับหนังสือจากทนายขอให้ยุติการกระทำอันเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า “ปังชา” เเละเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 700,000 บาท หากล่าช้าจะปรับเงินอีกวันละ 10,000 บาท
หลังเป็นข่าวสะพัดบนโลกโซเชียลได้ก่อให้เกิดถามขึ้นในสังคมอย่างหนักว่า คำว่า “ปังชา” ที่คนไทยคุ้นหู และรู้จักเมนูนี้มาเป็นศตวรรษนั้น สามารถจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และยินยอมให้ใครฮุบเอาเมนูปังชาไปเป็นเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาของตนได้ด้วยหรือ ก่อนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา จะได้ออกมาชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว โดยอ้างว่า เมนู “น้ำแข็งไสราดชาไทย” นั้นมีขายมานานแล้ว จึงไม่มีใครสามารถจดสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตรแล้วอ้างเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในเมนูนี้ได้ แต่ทว่า “ภาชนะ” ที่ใช้ใส่ “ปังชา” ของแบรนด์ที่เป็นข่าวนั้นมีการจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ไว้ ร้านลูกไก่ทองเพียงจดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ภาชนะที่ใส่ปังชาเท่านั้น พร้อมแนะนำให้ร้านรวงต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการใช้พาชนะบรรจุปังชาที่อาจไปละเมิดเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของเจ้าของ
ขณะที่ เจ้าของร้านลูกไก่ทองได้โพสต์ชี้แจง และขอโทษต่อประเด็นที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า อาจมีการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จึงขออภัยที่สื่อสารและทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และทางร้านพร้อมน้อมรับทุกคำติชม และจะปรับปรุงพัฒนาต่อไป แต่ไม่ปรากฏข้อความชี้แจงถึงกรณีที่มีคนอ้างว่า ถูกยื่นโนตี๊สเรียกค่าเสียหายแต่อย่างใด

ยิ่งเมื่อ “หนุ่มกรรชัย” และรายการโหนกระแส ได้เชิญเจ้าของร้านลูกไก่ทองได้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งก่อให้เกิดความสับสนหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเจ้าของแบรนด์ที่อ้างว่า ตนเป็นเจ้าของสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า “ปังชา” ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ว่า คำว่า “ปังชา” ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษนั้น หากร้านรวงอื่น ๆ นำไปขึ้นป้าย ตั้งชื่อเมนูด้วยคำดังกล่าวถือว่า ละเมิดเครื่องหมายการค้า และสิทธิบัตรของตนหรือไม่ โดยอ้างว่า ไม่ว่าจะใช่ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ หากมีชื่อคำเหล่านี้ ย่อมก่อให้เกิดความสับสน และเกิดความเข้าใจได้ว่า เป็นเครื่องหมายการค้าของตนเอง จึงไม่อาจใช้ได้ ซึ่งสวนทางกับคำชี้แจงของกรมทรัพย์สินทางปัญญาอย่างชัดเจน
จนกลายเป็นดราม่า ที่ทำเอาทัวร์ลงร้านลูกไก่ทองและปังชาอย่างหนักอยู่ในเวลานี้

หลายฝ่ายถึงถับตั้งคำถาม โดยปกติบรรดา “เสือหิว” นักบินทั้งหลายที่หากินกับคดีความในลักษณะนี้ แม้ไม่มีเรื่องของ “ปังชา” นี้เข้ามาก็หากินกันเอิกเกริกกันอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีกรณีความไม่แน่ชัด กรณีการตีความ “ปังชา” ว่าผิด-ถูกอย่างไร ร้านรวงโดยทั่วไปสามารถใช่ชื่อเมนู หรือเสิร์ฟเมนู “ปังชา” เป็นเมนูได้หรือไม่ จะเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า และสิทธิบัตรของร้านลูกไก่ทอง และปังชา หรือไม่
แม้จะเป็นเพียงการใช้ชื่อเมนู ปังชา ที่ไม่มีความเกี่ยวพันใด ๆ กับภาชนะบรรจุที่ร้านออกแบบ หรือจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอาไว้ก็ตาม แต่หากไปตีความว่า เป็นการใช้ชื่อพ้อง ที่ก่อให้เกิดความสับสน และนึกไปถึงเมนูปังชาของร้านลูกไก่ทองเอาได้ทุกเมื่อเช่นนี้
จะกลายเป็นข้องทางให้บรรดาเสือโหยและนักบินฉวยโอกาสตีกินและแอบอ้างรีดเอากับรรดาร้านรวงที่ใช้ชื่อ “ปังชา” ตามมาอย่างแน่นอน ยิ่งหากกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ออกมาให้ความกระจ่างก็จะยิ่งเข้า “ทางตีน” ของบรรดาเสือโหยเหล่านี้