นโยบายแจกเงินหมื่น ผ่าน “ดิจิทัล วอลเล็ต” กลายเป็นตัวชี้วัด “ความอยู่รอด” ของ “รัฐบาลเศรษฐา” การได้ “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” ร่วม “ครม.นิด 1” ในฐานะ “รมช.คลัง” ก็น่าจะเชื่อมประสานการสั่งงาน ขรก.สังกัด ก.คลัง เพื่อขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น สำคัญกว่านั้น...เม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการ 5.6 แสนล้าน จะเอามาจากไหน? คนกลุ่มนี้...ชี้เป้าได้ไม่ยาก!!!
…
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ มิชชั่นสำคัญ...ก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดิน นั่นคือ “การแถลงนโยบายรัฐบาล” ต่อรัฐสภา เมื่อ 11-12 กันยายนที่ผ่านมา แม้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะไม่ให้คะแนนตัวเอง ด้วยเหตุผล...นี่ไม่ใช่การสอบ และตัวเขา...ยังไม่ได้เข้าคลาสเรียนในทางการเมือง
13 ก.ย. 2566 คือ วันแรกของการเข้าเรียน จากวงประชุม “คณะรัฐมนตรี นัดแรก”
ย้อนกลับไปดู...กรอบนโยบายระยะสั้น หรือนโยบายเร่งด่วน ลากยาวจนถึงกรอบนโยบายระยะกลางและยาว
กรอบระยะสั้น ที่ “รัฐบาลเศรษฐา” จะเร่งรัดจัดการในทันที! ด้วยเหตุผลคือ...รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง
นโยบายที่จะตอบโจทย์หลักของรัฐบาล ก็คือ นโยบายการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่าน Digital Wallet ที่รัฐบาลหวังจะใช้เป็นตัวจุดชนวนและกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ยังมีหลายนโยบายในกรอบระยะสั้น ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น… นโยบายในการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน, การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน, การผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ฯลฯ ทั้งนี้ จะมีส่วนช่วยการเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว
ขณะที่กรอบระยะกลางและระยะยาว นั้น รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับประชาชนทุกคน
รายละเอียดของกรอบนโยบายทั้ง 3 ระยะของรัฐบาล มีให้อ่านในโลกออนไลน์มากมาย ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดอะไรมากนัก แต่ที่น่าสนใจ เพราะอาจเป็น “จุดพลิกผันสำคัญ” ในการดำเนินนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และภาพลักษณ์ความอยู่รอดของ “รัฐบาลเศรษฐา” คงไม่พ้น...นโยบายการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่าน Digital Wallet
เรื่องนี้...ดูจะเป็นประเด็น “ซีเรียส” ทั้งต่อตัวรัฐบาลเอง ต่อระบบเศรษฐกิจและธุรกิจ ต่อความรู้สึกนึกคิดของคนไทย เพราะอาจส่งผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง...
ทั้งทางบวกและลบ!!!
ประเด็นที่มาของแหล่งเงินในโครงการแจกเงินหมื่น เห็นได้ชัดว่า...ทั้ง นายกฯ เศรษฐกิจ และรัฐมนตรีที่ดูแลโครงการนี้ อย่าง... “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของฝ่ายค้าน
การไม่ตอบคำถาม...มีนัยสำคัญแฝงอยู่มากมาย? ไม่ว่าจะเป็น...ยังไม่รู้แหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการฯ หรือรู้ถึงแหล่งที่มาอยู่แล้ว แต่ไม่อยากเปิดเผย ด้วยเกรงจะตกเป็นกระแสให้ต้องถูกโจมตี จนอาจกระทบการดำเนินโครงการเติมเงินในระบบเศรษฐกิจได้
ไม่ว่า...จะต้องกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือขายทิ้งหุ้นในกองทุนวายุภักดิ์ หรือไม่? อย่างไร?...ล้วนต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับให้มากและนานที่สุด
การดึงเอาอดีตปลัดกระทรวงการคลัง “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” มานั่งเก้าอี้ รมช.คลัง คู่ขนานอีกคนหนึ่ง ย่อมมีนัยสำคัญทีเดียว!
แม้ว่าเส้นทางการมาร่วมเป็น 1 ใน 34 รัฐมนตรีของ “ครม.เศรษฐา 1” จะถูกนำเสนอในโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ “สายลุงตู่” แต่เพราะความเป็น “เบอร์ 1” ในสายงานราชการประจำ “กฤษฎา” หรือ “ปลัดฯ ตู่” คนนี้...จึงถือมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ทั้งต่อการขับเคลื่อนนโยบายแจกเงินหมื่น และนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาล
พูดได้ว่า มี “ปลัดฯ ตู่” อยู่ร่วม “ครม.เศรษฐา 1” ก็น่าจะพอ...พึ่งพาและวางใจได้
โดยเฉพาะการกำกับดูแลงานในสายงานข้าราชการประจำ
ประเด็นที่ฝ่ายการเมือง...มักจะหวาดหวั่นต่อการเข้าบริหารราชการในกระทรวงต่างๆ ก็คือ การเป็น “ปลาคนละน้ำ” ระหว่าง...ฝ่ายนโยบาย (การเมือง) กับฝ่ายปฏิบัติการ (ข้าราชการประจำ)
แต่กับกระทรวงการคลัง...ดูจะกลายเป็นเรื่องง่าย? นั่นเพราะ...ตลอดเกือบ 3 ปีเต็มที่ “ปลัดฯ ตู่” กำกับดูแลลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชานั้น ได้จัดวางเครือข่ายและเส้นสายในระบบราชการเอาไว้ในระดับหนึ่ง
สายของ “ปลัดฯ ตู่” จัดว่าแข็งแกร่งมาก!...ไม่ว่าจะเป็น “เขาคนนั้น?” หรือ “เธอคนนี้?” ทั้งหมดล้วนอยู่ในระนาบ “อธิบดี” หรือ “ระดับ 10” และมีมากกว่า 1 คนที่มีศักยภาพมากพอจะขึ้นแท่น “เบอร์ 1” ปลัดกระทรวงการคลัง แทนที่ตัวเขา
นาทีนี้ “น้องรัก” อย่าง...“ลวรณ แสงสนิท” หรือ “บัด” อธิบดีกรมสรรพากร อาวุโส (อายุ) สูงสุด ก็น่าจะ “นอนมา” สำหรับตำแหน่ง “สูงสุด” ในซีกข้าราชการประจำในกระทรวงแห่งนี้
และยังมีที่รอจ่อคิว ภายหลังจาก “ว่าที่ปลัดฯ บัด” เกษียณอายุราชการไปแล้ว (2570) ก็คือ “เอก - เอกนิติ นิติทัณฑ์ประกาศ” อธิบดีกรมสรรพสามิต หรือ “อุ๋ย - กุลยา ตันติเตมิท” อธิบดีกรมบัญชีกลาง
นอกจากนี้...สายงานของหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง เช่น สำนักงาน คปภ. “เรคกูเรเตอร์” ที่กำกับดูแลบริษัทประกันภัยทั้งระบบ รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือ “แบงก์รัฐ” ทั้งหมด...เคยถูกกำกับดูแลภายใต้ร่มเงาของ รมช.คลัง ที่ชื่อ “กฤษฎา” คนนี้
อย่างที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” เกริ่นก่อนหน้านี้...การได้ “ปลัดฯ ตู่” มาช่วยงาน “รัฐบาลเศรษฐา” ในฐานะ “รมช.คลัง” ถือได้ว่า Put the right man on the right job at the right time อย่างมาก
ไม่เพียง...ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เครือข่ายคอนเน็กชั่น และบารมี แต่ยังได้เตรียมการ “จัดวาง” ไลน์ตำแหน่งงานสำคัญๆ ของซีกข้าราชการประจำเอาไว้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!
ลากยาวไปอย่างน้อยก็ 7 ปี
นั่นก็หมายความว่า... ตราบใดที่รัฐบาลชุดนี้ ยังมี “คนร่วม ครม.” ชื่อ... “ปลัดฯ ตู่” หรือ “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” การประสานงานระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานใต้สังกัดกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะ...ธนาคารของรัฐสำคัญๆ และธนาคารพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคาคสงเคราะห์ (ธอส.) ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ธนาคารกรุงไทย (รัฐถือหุ้นใหญ่) จะยังคงราบรื่น
กลับกัน...หากไร้ร่างเงาของ “กฤษฎา” ก็ต้องลุ้นว่า...การสั่งงาน ติดตามงาน และการวัดผลความสำเร็จของงานตามนโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร?
ยิ่งเป็นนโยบายที่ถูกชี้ชัดว่า เป็น “จุดเป็น-จุดตาย” ของ “รัฐบาลเศรษฐา” อย่าง...โครงการแจกเงินหมื่น ผ่าน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ให้กับคนไทยวัย 16 ปีบวก ซึ่งมีมากถึง 56 ล้านคน และต้องใช้เงินมากถึง 5.6 แสนล้านบาท ด้วยแล้ว...
คำถามที่ยังได้รับคำตอบไม่เคลียร์ คือ รัฐบาลจะเอาเงินจำนวนมหาศาลมาจากไหนกัน?
มีประเด็นหนึ่ง...ที่เคยถูกหยิบยกขึ้นหารือเป็น “วงใน” ของข้าราชการประจำ และผู้บริหารของแบงก์รัฐในสังกัดกระทรวงการคลัง นั่นคือ ยังมีเม็ดเงินงบประมาณซ่อนเร้นและถูกใช้แบบไม่ก่อเกิดประโยชน์ตรงจุดใดกันบ้าง?
ว่ากันว่า...นอกจากเงินงบประมาณในส่วนของ “งบกลาง” ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะในช่วง 9 ปีหลัง ยุค “รัฐบาลลุง” จนขยับเพิ่มเป็นกว่า 6 แสนล้านบาท นั้น งบส่วนนี้...ใช้จ่ายเพื่อภาวะฉุกเฉินกันจริงๆ ไม่เกิน 2-3 แสนล้านบาท
เหลือเนาะๆ เอาไว้ให้ “รัฐบาลเศรษฐา” ใช้จ่ายราว 3-4 แสนล้านบาท
การตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อสิ่งของ อุปกรณ์ ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ คัดออกเฉพาะที่ไม่จำเป็นจริงๆ นั้น ก็น่าจะมีเหลือไม่ต่ำกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท
และหากรัฐบาลสามารถ “ปิดกั้น” การทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกมิติ ผ่านการจัดซื้อและประมูลงานภาครัฐได้อีกล่ะก็ 2 แสนล้านบาทที่เหลือ...ก็ยังน้อยไป
นับรวมเม็ดเงินทั้งหมดที่มีการพูดคุยในลักษณะ “วงใน” แล้ว ก็น่าจะเพียงพอต่อการนำไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่น ได้อย่างสบาย...
ขึ้นกับว่า...กลุ่มคนที่รู้และเห็นถึง “เม็ดเงินที่ถูกซุกไว้” กล้าจะสื่อสารไปยังฝ่ายการเมืองหรือไม่? และฝ่ายการเมืองเอง...กล้าจะตัด “วงจรอุบาทว์” ที่เคยกระทำกันมายาวนานต่อเนื่องหรือเปล่า?
หากกล้าทำ! คำตอบของคำถามที่ว่า “เอาเงินจากไหน?” สำหรับโครงการแจกเงินหมื่น ผ่าน “ดิจิทัล วอลเลต” คงอยู่ไม่ไกลนัก!