ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) ภายในปี พ.ศ. 2564
ซึ่งนั่น...ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพสังคม สภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงาน ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากรทางสุขภาพและสังคมของประเทศไทยในระยะยาว
ข้างต้น คือ รายงานของ United Nations World Population Ageing ที่มองกลับเข้ามายังประเทศไทย เป็นสายตาที่มองอย่างคนหวังดี
พร้อมกับคำแนะนำที่ว่า...ทุกภาคส่วนของไทยควรปรับโครงสร้างพื้นฐานของสังคมและเตรียมความพร้อมรองรับเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
ทว่า...คนไทย และหน่วยงานภาครัฐของไทย ด้วยกันเองแท้ๆ กลับไม่สนใจใยดีต่อสถานการณ์ดังกล่าว หลายคน...หลายหน่วยงาน...หลายองค์กร ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับส่วนกลาง รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลเชิงนโยบาย เรื่อยไปจนถึงระดับรัฐบาล และ “ผู้นำประเทศ”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ สำนักงานการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ได้เข้าตรวจสอบการดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 ซึ่งกำหนดเงื่อนไขจำเป็นของแผนฯ โดยให้ความสำคัญกับการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเน้นการบูรณาการการทำงานจาก ทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
กลับพบข้อมูลบางอย่างที่ คนไทยฟังและรับรู้แล้ว... อาจถึงกลับต้องตกใจ และบางคนอาจ “กุมขมับ” กับสภาพการณ์ “ใส่เกียร์ว่าง” ของคนในหน่วยงานภาครัฐ...ทุกระดับ และคนที่เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน? แต่เป็นถึง “ข้าราชการระดับสูง” ในองค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐ (งบประมาณแผ่นดิน) อย่าง...นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่เพิ่งออกมาระบุว่า...
ภายหลังการตรวจสอบของ สตง. พบว่า แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ยังขาดแผนปฏิบัติการในภาพรวมที่กำหนดให้มีการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ ครอบคลุมแผนงาน/งาน/โครงการ และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ มาตรการ และดัชนีชี้วัดของแผน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแปลงแผนฯ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
แม้จะมีการจัดประชุมสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมเข้าร่วมในการผลักดัน แผนผู้สูงอายุแห่งชาติสู่การนำไปปฏิบัติ แต่จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพบว่าหน่วยงานต่างๆ ยังไม่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติเท่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยปฏิบัติในระดับพื้นที่ที่มีความเข้าใจว่าการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุเป็นการดำเนินงานตามภารกิจประจำตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการ โดยไม่ได้พิจารณาว่าการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุดังกล่าว มีความสอดคล้องกับแผนผู้สูงอายุแห่งชาติหรือไม่
ขณะเดียวกัน ในส่วนที่มีการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระดับจังหวัดเพื่อรองรับแผนผู้สูงอายุแห่งชาติพบว่ามีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพียงบางจังหวัดเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่ามีจังหวัดใดบ้าง เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีการรายงานกลับมายังหน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก และที่จัดส่งมาบางส่วน หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักก็ยังไม่มีการเก็บรวบรวมเอกสารอย่างเป็นระบบ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ สำหรับหน่วยงานในระดับส่วนกลาง เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมประชุมมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ แต่เจ้าหน้าที่อื่นไม่ทราบข้อมูลดังกล่าว
“การแปลงแผนผู้สูงอายุแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติโดยที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของแผนดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฯ รวมทั้งขาดรายละเอียดระดับแผนงาน/งาน/โครงการเพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผล ซึ่งย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในการวัดผลสัมฤทธิ์ของแผน เนื่องจาก ไม่มีแผนปฏิบัติการในภาพรวมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ” ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่าการปรับปรุงแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับนี้ มีความล่าช้า ไม่เป็นไปตามที่กำหนด กล่าวคือ จนปัจจุบันมีการปรับปรุงแผนฯ เพียง 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วควรจะต้องได้รับการปรับแผนฯ รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง เนื่องจากแผนผู้สูงอายุดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนไขให้มีการพิจารณาและปรับปรุงแผนเป็นระยะๆ ไม่เกินทุก 5 ปี ซึ่งกระบวนการปรับปรุงแผนที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนด ส่งผลทำให้แผนผู้สูงอายุแห่งชาติขาดความเป็นปัจจุบัน และไม่สอดคล้องกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแต่ละฉบับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่นำแผนฯ มาแปลงสู่การปฏิบัติ ด้วยเห็นว่ามาตรการและเป้าหมายตามแผนที่กำหนดไม่ทันกับสถานการณ์และความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อการขับเคลื่อนแผนฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
ทั้งนี้ จากผลการตรวจสอบข้างต้นนั้น สตง.จึงได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบพร้อมข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ หน่วยงานที่กำกับดูแล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. แล้วแจ้งให้ สตง. ทราบภายใน 60 วัน อาทิ เร่งผลักดันให้การดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญและเกิดการบูรณาการในการแปลงแผนผู้สูงอายุแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนแผนฯ ไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมและครอบคลุมแต่ละมาตรการตามยุทธศาสตร์ของแผนฯ
แล้วดำเนินการซักซ้อมทำความเข้าใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง หรือจัดทำเป็นคู่มือการขับเคลื่อนแผนผู้สูงอายุแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างการรับรู้ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานต่อไป จัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในภาพรวมเพื่อรองรับการดำเนินการในแต่ละมาตรการตามยุทธศาสตร์ของแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยจะต้องเน้นแผนงาน/งาน/โครงการที่มีประเด็นสำคัญซึ่งส่งผลต่อระดับความสำเร็จของแผน (Flagship) เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการและเป็นประโยชน์ต่อการติดตามประเมินผล ตลอดจนถึงการพิจารณากำหนดแผนการดำเนินการในการปรับปรุงแผนและกรอบระยะเวลาในการดำเนินการของแต่ละขั้นตอน เพื่อให้การปรับแผนสามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งแจ้งเวียนและกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และรวบรวมปัญหาอุปสรรคเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขต่อไป
คนไทยเห็นรึยัง?
การที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” หยิบเรื่องมาบอกเล่าสู่กันฟัง ก็เพราะ...จากนี้ไป สภาพการณ์ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” ในอีก 2 ปีข้างหน้า จะส่งผลกระทบวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทย ในทุกมิติ ตั้งแต่...การศึกษา/การเรียน/การสอน, การทำงาน/จ้าง, การผลิตสินค้าและบริหารในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ฯลฯ ล้วนต้องได้รับผลกระทบอย่างมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
แต่กับอาการ “ใส่เกียร์ว่าง” ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาของ ข้าราชการไทยและหน่วยงานภาครัฐของไทย นอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาที่จะมีตามมาต่อเนื่องจากปัญหา “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” เท่านั้น หากยังจะเพิ่มปัญหา และกลายเป็น “ตัวปัญหา” ของวงจรนี้เสียเอง
ประเทศผมมี...“นายกฯ ลุงตู่“ และข้าราชการใต้อาณัติของ “รัฐบาลลุงตู่”
ไม่รู้สึกหดหู่ในวันนี้...ตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปหดหู่ตอนไหนกันแล้ว (ว่ะ!)
โดย..กากบาทดำ