ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “สมัยที่ 2” นับแต่เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 25 ก.ค. ข้ามคืนวันเสาร์ที่ 26 ก.ค. ล่วงสู่วันใหม่ของเช้ามืด (03.33 น.) วันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสำนักงาน TOT ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
ท่ามกลางการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา ทั้งฝ่ายที่เชียร์และคัดค้านรัฐบาล ตลอดระยะเวลาของการอภิปราย โดยเฉพาะการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ฉายภาพกว้างในองค์รวม แต่ขาดทั้งการลงลึกในรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติไปสู่เป้าหมาย..
นี่ยังไม่นับรวมคุณสมบัติของ ผู้ที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผล อย่าง...รัฐมนตรีบางคน ที่ไม่น่าจะมีคุณสมบัติที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งในรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ รวมระยะทั้งสิ้นราว 34 ชั่วโมงนั้น
สังคมไทยได้อะไรกันบ้าง?
เป็นคำถามที่หลายคนคงมีคำตอบในใจ หลังได้เห็นอากัปกริยาของผู้แถลงนโยบายและคนอภิปราย ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กับ 12 นโยบายหลัก และ 12 นโยบายเร่งด่วน ดังนี้
เริ่มจาก ”นโยบายหลัก” ของรัฐบาล...ประกอบด้วย การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์, การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ, การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม, การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก, การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย, การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค, การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก, การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย, การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม, การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน, การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ ”นโยบายเร่งด่วน”...ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน, การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน, มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก, การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม, การยกระดับศักยภาพของแรงงาน, การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต, การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21, การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ, การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้, การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน, การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย และการสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
แน่นอน ฝ่ายค้านย่อมไม่เห็นด้วย และไม่เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ จะดำเนินงานตามนโยบายที่ได้แถลงเอาไว้ต่อรัฐสภา จึงตำหนิติติง และชี้ให้เห็นประเด็นปัญหา พร้อมกับเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาในมุมมองของพวกเขา
ซึ่งไม่ว่า...รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ จะนำไปปฏิบัติหรือไม่? อย่างไร?
แต่ครั้งนี้...ดูเหมือนจะเป็น “นิมิตรหมายใหม่” หลังจากฝ่ายค้าน ในซีกพรรคอนาคตใหม่ได้อภิปรายเชิงสร้างสรรค์ รับเสียงชื่นชมทั้งจากในรัฐสภา และจากผู้ชมทางบ้านที่เฝ้าติดตามการถ่ายทอดสดการอภิปรายในครั้งนี้
ประเด็นที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” อยาก “โฟกัสชัดๆ” และนำไปเปรียบเทียบกับบางประเทศในเอเชีย เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของนโยบายแบบเดียวกัน ก็คือ...
..การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสที่ดีของคนไทย..
แม้หัวข้อนี้ จะไม่มีบรรจุอยู่ใน... 2 นโยบายหลัก และ 12 นโยบายเร่งด่วน แต่เป็นอันเข้าใจได้ว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แอบใส่รวมอยู่ใน 24 นโยบายข้างต้นไว้แล้ว
แม้จะมีเสียงค่อนแคะ ทั้งจากฝ่ายค้านและภาคประชาชนจำนวนมาก
ทำนอง...รัฐบาลไม่ “โฟกัส” ในเรื่องดังกล่าวให้มันชัดเจน
นั่นมิต่างจากความไม่สนใจที่จะเร่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่นับวันระยะห่างระหว่างคนจนและคนรวยในประเทศไทย..ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นทุกขณะ
อันเป็นผลมาจากนโยบาย “อุ้มคนรวย ทิ้งขว้างคนจน” ในช่วงแรกๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ 1 นั่นเอง!
พักจากเสียงที่ไม่เห็นด้วย กลับสู่ความจริงจากวันนี้ไป ซึ่ง “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” เชื่อว่า...รัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่แม้จะมีเสียงปริ่มน้ำ และต้องบริหารประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะการตรวจสอบจากพรรคฝ่ายค้าน และองค์กรภาคประชาชน นี่ยังไม่นับรวมบรรดาการตรวจสอบจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่หลายคนเชื่อว่า...ไม่อิสระจริง!
กระนั้น คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็คงต้องเดินหน้า “หาความสำเร็จ” เพื่อลบล้างข้อครหาที่ว่า “โกงเข้ามาเพื่อหวังกอบโกย” และหากพวกเขาคาดหวังถึงความสำเร็จกับการดำเนินงานตามนโยบายทั้งหลักและเร่งด่วน รวม 24 ข้อนั้น
คนไทยจะต้องก้าวพ้นความยากจน และเข้าถึงโอกาสดีๆ จากนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่...ยอดคนยากจนพุ่งจากที่มีเพียง 10 ล้านคนเศษ ก่อนหน้าจะมีรัฐบาลประยุทธ์ 1 กลายเป็นกว่า 14 ล้านคนในยุคต้นๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ 2
อย่างที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกต กับบัตรคนจน หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯที่มีนั้น ยังไม่นับรวมคนในครอบครัวของผู้ถือบัตร ซึ่งหากรับรวม...ลูกหลานเข้าไปด้วยแล้ว
เชื่อว่า...จำนวนคนจนในบ้านเมืองไทย จะมีไม่น้อยกว่า 17 ล้านคนอย่างแน่นอน
มากกว่านั้น หากนับรวมคนจนที่ไม่กล้า “ออกตัว” หรือรวมถึงคนชั้นกลางระดับล่าง รวมกันอีกกว่า 40 ล้านคนแล้ว
นั่นหมายความว่า...ยังมีคนไทยเกือบ 60 ล้านคน ที่ยังจนและบางคนยังเข้าไม่ถึงโอกาสที่ดีจากรัฐบาล
สังคมไทยจึงยังห่างไกลกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองนี้
ข้อมูลที่เพื่อนผู้สื่อข่าวบางคน หยิบเอามาฝาก “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ระหว่างเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีน เมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายอย่างที่น่าสนใจ และสามารถนำมาเปรียบเทียบกับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของรัฐบาลไทยได้
เป้าหมายของรัฐบาลจีน ภายใต้การนำของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน คือ “คนจนในประเทศจีนจะต้องหมดไปภายในปี ค.ศ. 2020” (2563) หรือในอีก 1 ปี 5 เดือนข้างหน้า!
ทว่ารัฐบาลของหลายมณฑล โดยเฉพาะ 2 มณฑล อย่าง “ส่านซี (ทางตะวันตกเฉียงเหนือ) และชิงไห่” (ติดที่ราบสูงทิเบต) ที่ตัวแทนสื่อมวลชนจากประเทศไทย เดินทางไปศึกษาดูงานนั้น
กลับพบว่า...พวกเขาแข่งขันที่จะเร่งสร้างการเข้าถึงโอกาสที่ดี ให้กับคนในมณฑลของตัวเอง เพื่อที่คนของพวกเขาจะได้ก้าวพ้นความจนได้เร็วกว่าแผนใหญ่ของรัฐบาลกลาง
ภายในสิ้นปี ค.ศ. 2019 (2562) คนจนจะต้องไปจาก 2 มณฑลนี้
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงแต่อย่างใด เพราะจากนโยบายของรัฐบาลทั้ง 2 มณฑล ที่เน้นสร้างการเข้าถึงโอกาส การสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชนของตัวเอง
พร้อมกับตัดทิ้งปมทุจริตคอร์รัปชั่นออกไป เมื่อรวมกับนโยบายกระจายอำนาจการคลัง ที่แต่ละมณฑลหาเงินมาได้ ก็เก็บส่วนใหญ่เอาไว้ใช้ในการพัฒนามณฑลของตัวเองได้ ซึ่งต่างจากประเทศไทย ที่เงินบาททุกสตางค์ต้องส่งเข้าส่วนกลางก่อน แล้วส่วนกลางจะส่งคืนกลับให้เท่าไหร่? ต้องลุ้นกันจนคอเหนียวแห้ง
ที่สำคัญ คนจีน ไม่ว่าจะในกลุ่มผู้บริหารระดับไหน ข้าราชการระดับใด และภาคประชาชน พวกเขาต่างเชื่อมั่น...เชื่อถือ และไว้ใจในความ “ใจซื่อ มือสะอาด” และการมีวิสัยทัศน์ของ “ผู้นำจีน” (ปธน.สี จิ้นผิง) ที่จะนำพาบ้านเมืองจีน พัฒนาไปก้าวข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย ซึ่งจุดนี้...ก็ต่างจากคนไทย ทั้งในและนอกประเทศไทย ที่มอง “ผู้นำไทย” ดั่ง...ฟ้าสูงกับเหวลึก
แต่ละมื้ออาหารที่รับประทานในงานเลี้ยงต้อนรับสื่อมวลชนไทย ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่ทางการก็ตาม พูดได้เต็มปากว่า “มื้อละแสน ทานกันแค่หลักหมื่น” เหลือทิ้งขว้างเป็นจำนวนมาก นั่นเพราะบ้านเมืองจีน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารการกินจากแหล่งผลิตในพื้นที่การเกษตรที่ประสิทธิภาพการผลิตที่สูง
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะในระดับการใช้เทคโนโลยีที่ไม่สูงมากนัก ไปจนถึงเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างระดับ “ปัญหาประดิษฐ์” (AI) ทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งโอกาสของการเข้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งๆ ขึ้น
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ หากรัฐบาลของมณฑลส่านซีและชิงไห่ จะกล้าประกาศความสำเร็จที่จะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยในบ้านเมืองของเขา ก่อนหน้ารัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่ง และ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ก็เชื่อว่า...พวกเขาจะทำได้จริง!
หันมาดูที่ประเทศไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่วันนี้...ไม่มี “มาตรา 44” และกองทัพ คอยให้การสนับสนุน เหมือนเมื่อครั้งที่เป็น “องค์รัฏฐาธิปัตย์” อีกแล้ว จะนำพาคนไทยให้ก้าวข้ามพ้นความยากจนได้อย่างไร?
ในเมื่อวันนี้...บัตรคนจน กำลังจะถูกผลิตเพิ่ม เพื่อรองรับคนไทยกลุ่มใหม่ ที่พ่ายแพ้ต่อ “พิษเศรษฐกิจ” ในทุกๆ ด้าน และกลายเป็น “คนจนรุ่นต่อไป”
โดย..กากบาทดำ