“นายกรัฐมนตรี – หัวหน้ารัฐบาล – ผู้นำประเทศ” คือ คนเดียวที่ต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจยุคดิจิทัล รู้ความเปลี่ยนแปลงและเป็นไปในโลกแห่งสงครามเศรษฐกิจและการค้า.
จึงต้องถาม นายกฯลุงตู่...ไหวไหม? หากไม่ไหวจะลาออกก็ได้นะ!
คนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ ยิ่งเศรษฐกิจยุคใหม่ (Didital Economy) ความยากต่อการจะเข้าใจและรับมือกับความเป็นไปของมัน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วตามเทคโนโลยีที่ผันแปรแบบวินาทีต่อวินาที ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากสุดๆ
กับอีแค่...เศรษฐกิจพื้นฐาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ลึกซื้ง แล้วยังพูดระหว่างแถลงนโยบายในรัฐสภาว่า คนจนไม่เสียภาษี..
โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า รายได้หลักของประเทศ (จากกรมสรรพากร) นั้น มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ซึ่งประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ต่างจับจ่ายซื้อหาสินค้าและบริการ โดยมีผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มรายใหญ่ของประเทศ...
ข้างต้น..เป็นสรุปรวมความที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” นำมาจากมุมมองของ “ปู่พิชัย” หรือนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในวันล่วง 93 ปี ที่สะท้อนภาพจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา “โฟกัส” ไปยังตัว “นายกฯลุงตู่” เต็มๆ..
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังชี้ให้เห็นอีกว่า...ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจยุคใหม่และการแข่งขันในเวทีการค้า ที่เสมือนหนึ่ง “สงครามการค้าและเศรษฐกิจ” นั้น
จำเป็นเหลือเกินที่คนเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีความรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่ มีมุมมองและวิสัยทัศน์ต่อเทคโนโลยีและสถานการณ์ความเป็นไปของโลกอย่างเท่าทัน
ลำพังรอการรับฟังรายงานจาก นายมสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หรือจากข้าราชการประจำ ที่พูดแต่ด้านดี...ด้านบวกเพียงด้านเดียว อาจไม่เพียงพอต่อการจะนำพาบ้านเมืองไทยและเศรษฐกิจของชาติ ก้าวข้ามพ้นวิกฤติการณ์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
แต่หากฟังการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ทั้งจาก...พรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ จะเห็นตรงกันว่า...พวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำรัฐบาล และ “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลประยุทธ์ สมัยที่ 2 แต่อย่างใด
บางคนถึงกับพูดให้คนไทยได้คิด ทำนอง...นายสมคิด คือ “นายกรัฐมนตรีตัวจริงหรือไม่” และเป็นตัวแทนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ แฝงตัวมาบงการความเป็นไปในเชิงนโยบายให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ประสีประสาเรื่องเศรษฐกิจ ให้ต้องดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุด...ผลประโยชน์ทั้งมวล ไหลกลับไปตกอยู่กับเครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนเหล่านั้น
แม้นายสมคิดจะออกตัวระหว่างแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า...ที่กลุ่มทุนเหล่านั้น “ร่ำรวย” เพิ่มมากขึ้น กลุ่มละหลายแสนล้านบาทในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งนายสมคิดเองก็อยู่ร่วมคณะรัฐมนตรี ยุค “มาตรา 44” นั้น เป็นเพราะ “ราคาหุ้น” เพิ่มขึ้น หลังจากก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 1 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯของไทย ยังอยู่ในระดับ 1,200 จุดนิดๆ แต่ปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ทยานไปจนทะลุ 1,700 จุดแล้ว
กว่า 500 จุดที่เพิ่มขึ้น มีผลต่อราคาหุ้น ซึ่งกลุ่มทุนเหล่านั้น ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่ในธุรกิจของตระกูลและของตัวเอง นั่นจึงทำให้นายทุนกลุ่มนี้...ร่ำรวยอย่างมาก
“สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” เชื่อในคำพูดของ นายสมคิด แค่ครึ่งเดียว เพราะความจริงมันเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ทั้งหมด เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 1 โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ออกมาจาก “มันสมอง” ของนายสมคิดและทีมงานฯนั้น ล้วนสร้างโอกาสและประโยชน์อย่างที่สุดต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็สนับสนุน รัฐบาล คสช. ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น...โครงการบัตรคนจน (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) หรือโครงการอื่นใดที่ออกมาในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
สุดท้าย...เม็ดเงินงบประมาณจากภาษีประชาชน ไหลไปต่อยอดความร่ำรวยให้กับนายทุนขนาดใหญ่เหล่านั้น เสียเป็นส่วนใหญ่
ถึงตรงนี้...คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจตรงกัน! กล่าวคือ รัฐบาลประยุทธ์ ไม่ว่าจะสมัยแรก หรือสมัยที่ 2 ต่างก็หาเงินจากแหล่งอื่นไม่เป็น
ยกเว้น! ขึ้นภาษี ทั้งจากภาษีบาปและภาษีทั่วไป หากจะลดบ้างก็เป็นไปเพื่อตอบสนองการหาเสียงก่อนหน้านี้เท่านั้น
ใช้จ่ายเก่ง “เกินตัว” จนต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อนำมาโปะงบประมาณขาดดุลในแต่ละปี เฉพาะส่วนนี้...ก็มากกว่า 2 ล้านล้านบาทแล้ว
ยังไม่รวมการกู้ยืมเงินนอกงบประมาณที่พ่วงตามมาอีกเป็นจำนวนมาก กระทั่ง ร่ำลือกันว่า “หนี้สินในส่วนหนี้สาธารณะ” ของประเทศไทย รวมกันทะลุเกินกว่า 10 ล้านล้านไปแล้ว
“หาเงินไม่เก่ง แต่ใช้เงินเกินตัว” คือ คุณสมบัติของรัฐบาลบนความเข้าใจของคนไทยไปแล้ว
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ประสีประสาในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจยุคเก่า (พื้นฐาน) และยุคใหม่ (ก้าวหน้า) แถมยังเข้าใจอะไรผิดๆ เกี่ยวกับการเสียภาษีของคนไทย ในกลุ่มคนยากจน
ทำนอง...ไม่เสียภาษี รัฐบาลต้องพึ่งพิงจากรายได้ภาษีคนรวย ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
ทั้งที่ความเป็นจริง...การจัดเก็บภาษีจากคนรวย เทียบไม่ได้กับภาษีที่คนจนจ่ายผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
ดูจากตัวเลขที่ กรมสรรพาระบุไว้ในเอกสารข่าวที่เพิ่งแจกให้กับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้...
โดยนายเอกนิติ นิติภัณฑ์ประภาส อธิบดีกรมสรรพากร บอกว่า กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้เกิดเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จัดเก็บภาษี จนยอดจัดเก็บในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้ถึง 1,471,749 ล้านบาท และสูงกว่าเป้าถึง 55,543 ล้านบาท หรือ 3.9%
โดยที่แยกเป็นการจัดเก็บรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียง 445,604 ล้านบาท
ขณะที่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แม้จะไม่มีการระบุไว้ในเอกสารดังกล่าว แต่มีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง กระซิบ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ว่า...ในช่วง 9 แรกนี้ กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้ไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน!
จะเห็นได้ว่า...ตัวเลขรายได้การจัดเก็บภาษีระหว่าง...ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจว่า เงินภาษีจากธุรกิจขนาดใหญ่ “เป็นบุญเป็นคุณ” กับประเทศนี้นักหนานั้น
มีเพียงครึ่งหนึ่งของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากคนไทยทุกคน และส่วนใหญ่ก็เป็น “คนจน” ที่มิอาจ “ขอคืนภาษี” ได้เหมือนเศรษฐีและกลุ่มทุนขนาดใหญ่เหล่านั้น
ใช้เงินเก่ง หาเงินไม่เป็น ว่าน่ากลัวแล้ว.. แต่นั่น...ยังไม่ถึงขั้น “น่ากลัวสุดๆ”
เพราะสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาลชุดนี้ หัวหน้าพรรคฯ ก็เป็นคนเดียวกับที่นั่งเก้าอี้ รมว.คลัง นั่นคือ นายอุตตม สาวนายน กำลังต่อรองให้กระทรวงการคลัง “ลดภาษี” ทั้ง...นิติบุคคล บุคคลธรรมดา เว้นวรรคจัดเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์ (อีคอมเมิร์ซ) และอื่นๆ นั้น
แน่นอนว่า ย่อมกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพา ที่ปี 2562 นี้ จะต้องจัดเก็บให้ได้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 71.3% ของรายได้ทั้งหมดที่ประเทศนี้พึงมี
และในปี 2563 หรือปีหน้านั้น จะต้องเพิ่มยอดการจัดเก็บรายได้เป็น 2.2 ล้านล้านบาทอีก หากเล่นตามฝ่ายการเมือง ผู้กำหนดนโยบาย โดยไม่ใส่ใจกรอบวินัยการเงินการคลังแล้วล่ะก็...
ความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และโครงสร้างเศรษฐกิจของชาติ...ย่อมมีมากมายเกินจะคาดเดาได้
เสียงเตือนจาก “ผู้หลักผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองไทย อย่าง...“ปู่พิชัย” และจากฝ่ายค้าน รวมถึงนักวิชาการ ที่ไม่ได้อิงแอบผลประโยชน์กับรัฐบาลนั้น
น่าจะเป็นอะไรที่ “ผู้นำประเทศ” “หัวหน้ารัฐบาล” และ “นายกรัฐมนตรี” ควรรับฟัง...
ถ้ารู้ตัวว่า...ไม่ไหว ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจยุคเก่าและยุคใหม่จริง!
อาจจะใช้ทางเลือกที่พรรคฝ่ายค้าน อภิปรายเชิงแนะนำในรัฐสภาคือ”ลาออก”..ก็น่าจะเป็น “ทางออก” ทั้งของตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง และยังเป็น “ทางออก” ให้กับบ้านเมืองไทย
ที่วันนี้...จำเป็นจะต้องได้ นายกรัฐมนตรี ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจยุคใหม่ ด้านเทคโนโลยียุคดิจิทัล และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล นำพาบ้านเมืองไทย ก้าวข้ามพ้น “วังวน” แห่งผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง!!!
โดย..กากบาทดำ