แผนพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าระยะแรกจำนวน 12 เส้นทางนั้น จะพบว่ามีจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างรถไฟฟ้าราว 59 จุดให้การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่กลับพบว่า มีหลายจุดที่ยังขาดการเชื่อมต่ออย่างลงตัว ผู้โดยสารยังต้องเดินผ่านพื้นที่กลางแจ้งก่อนเข้าสู่สถานี
โดยตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนคือ “สถานีสวนจตุจักร” เมื่อลงจากรถไฟฟ้าบีทีเอสต้องเดินเป็นระยะทางอีกราว 20-30 เมตร เพื่อเข้าสู่สถานีรถไฟฟ้า MRT นอกจากนั้นหากจะใช้บริการรถโดยสารสาธารณะอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ รถเมล์โดยสาร หรือแท็กซี่จะต้องยืนตากแดดตากฝนเข้าคิวรอเนื่องจากขาดการพัฒนาจุดเชื่อมต่อที่ดีนั่นเอง
กรมรางเร่งบูรณาการร่วม
ปัญหาดังกล่าวกำลังจะได้รับการพัฒนาเมื่อกรมการขนส่งทางราง (ขร.) พร้อมบูรณาการร่วมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) สถาบันขนส่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมพัฒนาพื้นที่จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าทั้ง 59 จุดให้พร้อมรองรับและให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น
โดยนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ให้รายละเอียดถึงแผนดำเนินการพัฒนาที่คัดเลือกมาดำเนินการว่า บางจุด อาทิ สถานีสยาม สีลม ศาลาแดง เตาปูน พญาไท มักกะสัน และอโศกเป็นจุดเชื่อมต่อที่ผู้โดยสารเดินเชื่อมต่อโดยไม่ต้องตากแดดตากฝน แต่อีกหลายจุดยังต้องเร่งดำเนินการ
ทั้งนี้เนื่องจากยังมีจุดเชื่อมต่อที่จะเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้าอีกจำนวน 13 จุด แต่มีแนวคิดที่จะเสนอให้คัดเลือกมาดำเนินการก่อนจำนวน 8 จุดในช่วงแรกนี้ คือ สถานีสวนจตุจักร สถานีพหลโยธินในพื้นที่ช่วงห้าแยกลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีมีนบุรี สถานีกรุงธนบุรี สถานีบางหว้า สถานีรัชดาภิเษก สถานีสำโรง โดยเฉพาะจุด “สถานีสวนจตุจักร” ถือว่าเป็นจุดนำร่องที่จะต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ มีผู้ใช้บริการจำนวนมากโดยเฉพาะเช้า-เย็น และช่วงวันหยุด
สำหรับสถานีสวนจตุจักรในเบื้องต้น พบว่า มีผู้เกี่ยวข้องหลายราย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าของพื้นที่ฟุตบาททางเท้า รฟม.ในฐานะผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT รฟท.ในฐานะเจ้าของสวนจตุจักร บีทีเอส ในฐานะผู้ให้บริการรถไฟฟ้า จึงต้องบูรณาการร่วมกันทั้งเรื่องการออกแบบ เรื่องการก่อสร้าง เรื่องงบประมาณ ตลอดจนเรื่องการดูแลบำรุงรักษา
โดยแนวคิดนั้นทุกฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งหมด สำหรับ 8 จุดคาดว่าใช้งบประมาณไม่มาก เน้นทำหลังคากันแดดกันฝนให้เดินหรือยืนรอรถโดยสารตลอดจนเข้าสู่สถานีได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยแนวคิดของการร่วมหารือเพื่อบูรณาการร่วมกันนั้นอาจแบ่งสนับสนุนงบประมาณดำเนินการและดูแลบำรุงรักษา ณ จุดต่างๆ
บวก 2 แนวคิดความร่วมมือ
สอดคล้องกับแนวคิดของ รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เสนอให้ร่วมกันยกระดับการให้บริการจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าให้ได้มาตรฐานโดยพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในการออกแบบจุดสถานีสวนจตุจักรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เข้าไปใช้บริการได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย ไม่ต้องยืนตากแดดตากฝนเช่นในปัจจุบันอีกต่อไป
เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร โดย นายศักดิ์ชัย บุญมา รองผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นหน้าที่ของสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) จะต้องเร่งดำเนินการและส่งเรื่องการก่อสร้างงานโยธาของกทม.รับไปดำเนินการ
ดังนั้นในอีกไม่นานนี้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าและระบบบริการรถโดยสารสาธารณะในจุดเชื่อมต่อสำคัญของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยก็จะได้เห็นภาพการอำนวยความสะดวกของภาครัฐและเอกชนให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องถูกปล่อยให้ยืนรอหรือเดินตากแดดตากฝนเข้าไปใช้บริการเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป