แม้เรื่องของ “ระเบิดป่วนเมือง” ที่กำลังทำเอาประชาชนคนไทยอกสั่นขวัญแขวน..ทำเอานักลงทุนขวัญกระเจิง..
กำลังจะได้รับการคลี่คลายลงในไม่ช้า!
หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ประกาศกร้าวให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานควานหาตัวคนทำและตัวการที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้จงได้!
ประชาชนคนไทยคงเบาใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะเครื่องไม้เครื่องมือในการติดตามตรวจสอบตัวบุคคลในเวลานี้โดยเฉพาะกล้อง CCTV นั้น หากรายการนี้ไม่มีนอก-มีในหรือมีไอ้โม่งชักใยอยู่เบื้องหลัง ก็เชื่อแน่ว่า จะสามารถกระชากหน้ากากคนทำออกมาได้แน่
แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมี “ระเบิดเวลา” อีกกุรุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยุค พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร.”ซุกเอาไว้ใต้พรม” และเป็นเรื่องที่นายกฯ จะต้องล้วงลูกเข้าไปจัดการไขความกระจ่างให้ผู้คนได้หาย “กังขา” กันเสียที
ยิ่งเมื่อ “นายกฯ บิ๊กตู่” ประกาศก้องหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของรัฐบาลชุดนี้ว่า “ครม.ชุดนี้จะต้องไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น” ให้เห็นแล้ว
วินาทีนี้ ”บิ๊กตู่” ก็ช่วยล้วงลูกลงไปตรวจสอบ 2 โครงการอื้อฉาวใน สตช.แห่งนี้ที่ส่งกลิ่นโชยข้ามปีกันมาแล้วกันด้วย
หนึ่งในโครงการอื้อฉาวที่ว่า ก็คือ “โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบและคัดกรองอัตลักษณ์บุคคลด้วยเทคโนโลยี หรือไบโอเมตริกซ์” ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) มูลค่ากว่า 2,000 ล้าน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้ “สำนักงานส่งกำลังบำรุง” เป็นหน่วยงานจัดซื้อไปตั้งแต่ปี 2559-2560 เพื่อติดตั้งยังด่าน ตม.ทั้งหลาย
เป็นโครงการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์สุดบิ๊กบึ้มของ สตม. ที่หน่วยงานผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการจัดหาเอง จึงทำให้รายการพัสดุครุภัณฑ์ที่จัดหามาได้ ไม่เพียงจะสุดเว่อร์วังอลังการ หน่วยงานที่ต้องใช้ยัง “ไปไม่เป็น” เพราะบริษัทเอกชนคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินการส่งมอบพัสดุตามเงื่อนไขที่กำหนด และระบบที่ส่งมอบมาก่อนหน้าก็ยังคงมีปัญหาการเชื่อมต่อข้อมูลสารสนเทศกับ สตม. ที่มีอยู่ ทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพการใช้งาน ก่อนจะถูกเครือข่ายในภาคประชาชนที่ทนเห็นความเหลวแหลกของขบวนการถลุงภาษีประชาชนส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้ามาสอบไล่เบี้ยอยู่เวลานี้
จัดซื้อเครื่องไบโอเมตริกซ์โชยกลิ่น!
นัยว่า โครงการนี้ถูกผลักดันออกมาและส่งกลิ่นโชยตั้งแต่แรกเริ่ม เนื่องจากหน่วยงานที่ต้องใช้ไม่ได้เป็นผู้เสนอหรือดำเนินการจัดซื้อเอง แต่ ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้อีกหน่วยงาน คือ สำนักงานส่งกำลังบำรุง เป็นผู้ดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อเครื่องไบโอเมตริกซ์ที่ว่านี้
โดย สตช. ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการไบโอเมตริกซ์นี้ เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2559 และได้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องดังกล่าวไปถึง 1,843 เครื่อง จากกิจการร่วมค้าเอ็มที (MT) ภายใต้วงเงินดำเนินการกว่า 2,000 ล้านบาท กำหนดส่งมอบจำนวน 6 งวด ภายใน 660 วัน และครบกำหนดไปตั้งแต่ 2 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่า “การดำเนินการส่งมอบพัสดุครุภัณฑ์ไม่เป็นไปตามสัญญา และล่าช้ากว่าสัญญามาตั้งแต่งวดแรกจนกระทั่งงวดสุดท้าย”
ซึ่งตามสัญญานั้น บริษัทเอกชนจะต้องถูกปรับวันละกว่า 5 ล้านบาท จากการส่งมอบพัสดุล่าช้าไม่เป็นไปตามสัญญาหรือรวมแล้วกว่า 300 วัน (มากกว่า 1,500 ล้านบาท) แต่กรณีนี้ไม่รู้บริษัทเอกชนคู่สัญญา สตช. รายนี้ทำบุญมาด้วยอะไร จึงได้รับการเอื้ออาทรจากบิ๊ก สตช. โดยไม่เคยปรากฏข่าวว่า สตช.ได้ตั้งเรื่องปรับบริษัทเอกชนรายที่ว่านี้ไปสักกี่มากน้อย
แฉไอ้โม่งสั่งทำแผนจัดซื้อสุดเว่อวังอลังการ!
แหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูล “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ว่า ที่จริงโครงการไบโอเมตริกส์นั้น สามารถดำเนินการโดยใช้งบประมาณจัดซื้อจัดจ้างเพียงแค่ 500 ล้านบาท ก็สามารถทำงานอย่างได้ผลแล้ว หากหน่วยงานมีความเข้าใจในระบบ
แต่กลับมี “มือที่มองไม่เห็น-Invisible Hand” ใน สตช. นั่นแหล่ะ สั่งการและมอบหมายให้หน่วยงานอื่นดำเนินการจัดทำแผนจัดซื้อจัดจ้างและตั้งงบดำเนินการสุดเว่อร์วังอลังการไปถึง 2,100 ล้านบาทเศษให้แทน
มันจึงคิดไปเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากมีอะไร “ซุกใต้พรม” จากการดำเนินโครงการนี้หรือไม่?
ผลจากการจัดซื้อเครื่องไบโอเมตริกซ์สุดเว่อร์วัง จึงทำให้ต้องนำเอาเครื่องเจ้ากรรมที่จัดซื้อมาตั้งไปตั้งโชว์ หรือตั้งไว้ดูเล่นที่ บก.ตม.1 ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่กว่า 100 เครื่อง และส่งไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ อีกนับร้อยเครื่อง ขณะที่ ตม.สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีความต้องการใช้เครื่องอยู่ราว 110 เครื่องตามเคาน์เตอร์ ตม. ที่มีนั้น ก็จัดประเคนเครื่องนี้ไปถึง 150 เครื่อง
ไม่รวมกับที่ต้องกระจายไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ ที่รวมกันแล้ว มีช่องตรวจคนเข้าเมืองที่ว่านี้อยู่ราว 1,366 ช่อง แต่กลับ “ดั้นเมฆ” จัดซื้อไปถึง 1,843 เครื่อง เกินไปกว่า 470 เครื่อง และยังนำไปติดตั้งในหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน หรือไม่อยู่ในทีโออาร์อีกกว่า 750 เครื่อง
แถมบริษัทเอกชนที่ถูกเลือกเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการจัดหาและติดตั้งเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลที่ว่านั้น เมื่อตรวจสอบไปดูภูมิหลังแล้ว กลับพบว่า “หาได้มีประสบการณ์ในการจัดหาและติดตั้งเครื่องดังกล่าวมาก่อน”
แต่เหตุที่ได้รับเลือกเข้ามานั้น ด้วยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ “หลังบ้านระดับบิ๊ก” ในรัฐบาลบิ๊กตู่เองนั่นแหล่ะ ที่เป็นผู้อนุมัติให้ดำเนินการโดยตรง จึงทำให้เมื่อมีการส่งมอบและติดตั้งเครื่องเจ้ากรรมดังกล่าวไปแล้ว ไม่สามารถทำงานอย่างได้ผลและไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศกับ ตม. ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
แถมภูมิหลังของบริษัทเอกชนรายนี้ ยังเคยสร้างความปวดร้าวให้กับผู้คนจากผลงานอื้อฉาว ”โครงการบัตรสมาร์ทการ์ด” รุ่นที่ต้องให้ประชาชนคนไทยต้องถือใบเหลืองกันข้ามภาพข้ามชาติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย นั่นแหล่ะ
เมื่อบริษัทเอกชนรายนี้กระโดดค้ำถ่อเข้ามารับหน้าเสื่อจัดหาและติดตั้งเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลไบโอเมริกซ์ของ สตช. ผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการ จึงหายใจไม่ทั่วท้องดังปัจจุบัน
ปรับเปลี่ยนกรรมการจัดซื้อราวเก้าอี้ดนตรี
ผลงานอื้อฉาวข้างต้นนั้น จนยังผลให้คณะกรรมการตรวจรับชุดแรกที่ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาตบเท้าลาออกทั้งชุด เช่นเดียวกับ ในสมัย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็น ผบช.สตม. ได้มีการทำหนังสือลงความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาคือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ยกเลิกสัญญาโครงการไบโอแมทริกซ์ ถึง 2 ครั้ง (หนังสือลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 และ 7 มกราคม 2562) เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ รวมทั้งให้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทเอกชนคู่สัญญา
แต่หลังจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกปลดจากตำแหน่งไป ก็กลับมีรายงานว่า มีการการปรับเปลี่ยนโยกย้ายนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อ และปรับเปลี่ยนตัวกรรมการตรวจรับกันอีกหลายชุด ก่อนจะมีการเดินหน้าโครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในยุคของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง รรท.ผบช.สตม. ในปัจจุบัน
จนกระทั่งมีการเคลื่อนไหวของ ”ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด“ เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายความประชาชน ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบกรณีจัดซื้ออื้อฉาวในครั้งนี้ เนื่องจากมีความสงสัยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และประสิทธิภาพการใช้งานที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์จัดซื้อ และเครื่องที่ได้รับมอบมาไม่มีความเสถียร ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นไปตามเงื่อนไขทีโออาร์
ผลจากการที่มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนออกมาเปิดโปงและยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 นี้ ก็ทำให้ ผบ.ตร. นั่งไม่ติด ต้องลุกลี้ลุกลนสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้ โดยมีการสั่งย้ายและโยกย้ายนายตำรวจที่เกี่ยวข้องใน สตม. หลายนาย ท่ามกลางความงวยงงของเจ้าหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองที่ว่า เหตุใดผู้บังคับบัญชา สตช. ถึงลุกขึ้นมาสอบโครงการนี้ และยังแต่งตั้งลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาขึ้นมาตรวจสอบโครงการเสียเอง
ในเมื่อโครงการนี้ถูกสั่งให้ดำเนินการแบบ Top Down มาแต่แรก และแม้จะถูกอดีต ผบช.ตม. อย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำหนังสือทะลุกลางปล้องร้องขอให้ยกเลิกและฟ้องร้องบริษัทเอกชนคู่สัญญาให้รู้แล้วรู้แร่ดไปถึง 2 ครั้ง แต่แต่ก็กลับมี “ไอ้โม่ง-มือที่มองไม่เห็น Invisible Hand” สั่งให้เดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไปอีก
แล้ว สตช.จะมาตั้งกรรมการสอบหาอะไร?
ยังมีอีกเรื่องฉาวไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “โครงการจัดซื้อเครื่องบินเจ็ท” สุดหรู falcon 7 ที่นั่ง (ลำที่บิ๊กป้อมเพิ่งนั่งไปตรวจราชการล่าสุด ที่สร้างความฮือฮา แก่ผู้คนโดยทั่วไปนั่นแหละ) เป็นอย่างไรนั้น "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" จะนำเสนอต่อไป
โปรดติดตาม…